อาจารย์ปรเมศวร์ เผยคนในสังคมสงสัยตำรวจไปทำอะไรกันในวันนั้น

นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการอาวุโสสำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า คดีนี้ดิ้นไม่หลุด ถ้ากำนันนกอยากจะหลุดจากคดีนี้ มันต้องเริ่มต้นตั้งแต่สารวัตรตาย

โดยถ้ากำนันนกอยู่ในวันเกิดเหตุ กำนันอาจจะรอด แต่คุณหนีและทำลายหลักฐานแค่นี้รู้เลยว่า มีส่วนรู้เห็นกับคดีนี้ แสดงให้เห็นว่ากำนันรู้เห็นเป็นใจหรือไม่

ฝากถึงตำรวจที่อยู่ในวันเกิดเหตุออกมาพูดหน่อย วันนั้นไปทำอะไรกัน มีการรับส่วยหรือไม่ อยากให้ตอบคำถามสังคมให้ชัดเห็นอะไร เจออะไร อยากให้พูดให้หมด


“ทนายเดชา” เผยคดีกำนันนก สั่งการยิงตำรวจตาย โทษหนักสุดประหารชีวิต มั่นใจ ต้นเหตุขัดแย้งรัดเคลียร์ปม”ส่วยทางหลวง”

ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 เดินทางไปพูดคุยกับ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ได้ให้ความเห็นคดีดังกล่าวว่า จากข้อมูลตอนนี้ตนเองทราบว่ากำนันนกนั้นถูกตำรวจแจ้งไว้ 2 ข้อหาด้วยกัน คือ 1.ฐานจ้างวานฆ่า ซึ่งจากคำให้การของพยานยืนยันว่า เห็นกำนันนกได้มีการสั่งให้ นายหน่องเป็นผู้ลงมือยิงด้วยการ “พยักหน้า” ซึ่งหากเป็นจริง เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาออกมาแล้วว่า การพยักหน้า ก็เปรียบเสมือนการสั่งการให้ลงมือ ถือว่า ความผิด เข้าข่ายจ้างวานฆ่า และนายหน่อง หลังจากได้รับคำสั่งได้ยิงศพแรกตาย ส่วนอีกคนได้รับบาดเจ็บ กำนันนกจึงถูกแจ้งอีกข้อหาคือ “พยายามฆ่า” อีกข้อหาด้วย ซึ่งทั้ง 2 ข้อหา ถือว่ามีโทษหนักถึงประหารชีวิต

ส่วนตำรวจอีก 23 นายที่อยู่ในเหตุการณ์คืนนั้นแน่นอนก็จะต้องถูกดำเนินคดีด้วยทั้งหมด เพราะเป็นเรื่องที่แปลกมากที่กำนันจะเรียกตำรวจตำแหน่งสูงๆมากินข้าวที่บ้านตัวเองทั้ง 25 คน ซึ่งจะแค่นั่งกินข้าวเฉยๆ มันเป็นไปไม่ได้ และตนเองเชื่อว่า เรื่องนี้ต้องมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอน ส่วนจะเป็นผลประโยชน์ จะเป็นเรื่องใด ทั้งเรื่องส่วยรถบรรทุกน้ำหนักเกิน ,ส่วยต่างด้าว , ส่วยการค้าอาวุธเถื่อน , ส่วยของหนีภาษี มันเป็นไปได้หมด เพราะนี่คือผลประโยชน์มูลค่ามหาศาลซึ่งเกี่ยวข้องกับตำรวจทางหลวงโดยตรง และที่มีการนัดมากินข้าวก็เพื่อ นัดมาเจรจากันเรื่องผลประโยชน์แน่นอน เพราะตำรวจทางหลวง รวมถึง ผกก.แต่ละพื้นที่ ถือเป็นหน่วยงานสำคัญที่จะเอื้อให้พวกโจร ใช้เส้นทางในการทำความผิด หลายรูปแบบ เป็นการนัดมาคุยเพื่อ “เคลียร์ค่าผ่านทาง” หรือ เรื่องเดิมๆที่เรียกว่า “ส่วยทางหลวง” ซึ่งยังไม่หมดไป

นักอาชญาวิทยา เชื่อ “กำนันนก” รอดยาก อ้างไม่รู้เห็นใครทำลายพยานหลักฐานในบ้านของตัวเอง เป็นไปไม่ได้ สู้คดียากลูกสมุนถูกตำรวจวิสามัญดับ

ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้สอบถามไปยัง อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยาเชิงจิตวิทยา และพฤติกรรมอาชญากร มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับคดีดังกล่าวว่า ตนเองจากที่ได้ติดตามข่าว ทราบว่าคดีนี้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีส่วนใหญ่ในตอนแรกจะปฏิเสธไม่รู้เห็นเหตุการณ์ ซึ่งตนเองเชื่อว่า เป็นไปไม่ได้ และกำนันนกในฐานะเจ้าของบ้านที่เชิญตำรวจกว่า 25 คน มาร่วมงานเลี้ยงจะไม่รู้เรื่องทั้งๆที่ลูกน้องของตัวเองไปยิงตำรวจตายคาโต๊ะงานเลี้ยง ภายในบ้านของตัวเอง ก็ฟังไม่ขึ้น

การที่กำนันนกปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่เหตุเกิดในบ้านของตัวเอง ก็มีข้อพิรุธสงสัยหลายอย่าง เช่น ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดหายไป, ที่เกิดเหตุถูกล้างเก็บกวาดหมด ทำให้พยานหลักฐานที่สำคัญสูญหาย จึงทำให้เหลือเพียงพยานบุคคล ที่มีความน่าเชื่อถือน้อยที่สุด

แต่ก็ยังมีหลักฐานอื่นๆที่จะสามารถนำมาเอาผิดกำนันและผู้เกี่ยวข้องได้ คือ หลักฐานจากเส้นทางการเงิน หรือทามไลน์ในเฟซบุ๊กของนายหน่อง ผู้ตาย ที่มีความสนิทกับกำนันนกเป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถตามไปเจาะเพิ่มได้ว่า ช่วงเวลาที่นายหน่องมีชีวิตอยู่ นายหน่องเคยรับผลประโยชน์จากกำนัน หรือ นายตำรวจคนใด

อ.ดร.ตฤณห์ ยังบอกอีกว่า การที่นายหน่อง ถูกตำรวจวิสามัญตายไปแล้ว เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียเปรียบของกำนันในการต่อสู้คดี ข้อดีคือ คนที่ก่อเหตุตายไปแล้ว ตำรวจต้องไปหาหลักฐานอื่นมาสนับสนุนให้ได้ว่า กำนันนกเป็นคนสั่งให้นายหน่องยิงตำรวจเอง หรือ นายหน่องยิงเอง โดยที่กำนันไม่รู้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า เป็นเรื่องข้อต่อสู้คดีที่ยากของกำนัน หากจะอ้างว่า ไม่รู้ก็แทบเป็นไปไม่ได้

ส่วนข้อเสียคือ นายหน่องลูกน้องตายไปแล้ว ไม่สามารถรับผิดแทนกำนันนกได้อีกแล้ว ไม่มีใครรับติดคุกแทนกำนันแล้ว ทำให้กำนันต้องสู้คดีด้วยตัวเอง

อ.ดร.ตฤณห์ ยังได้วิเคราะห์ภาพตำรวจที่ถอดเสื้อนั่งร่วมในงานเลี้ยงกำนันนกด้วยว่า เป็นเรื่องที่แปลกที่จะมีตำรวจกล้านั่งถอดเสื้อร่วมวงกินเหล้าในงานเลี้ยงของกำนัน โดยไม่ได้ห่วงภาพลักษณ์ นั่นแปลว่า การที่ตำรวจยอมถอดเสื้อนั่งกินเลี้ยงบ้านกำนันได้ ต้องมีความสนิทสนม หรือ เกรงใจกำนันเป็นอย่างมาก และน่าจะรู้จักกันมานานถึงได้กล้าทำพฤติกรรมแบบนั้น ซึ่งภาพนี้เห็นได้ชัดว่า เป็นการแสดงอำนาจของกำนันที่สามารถสั่งให้ตำรวจทำอะไรก็ได้

ตอกฝาโลงกำนันนก ติดคุกแน่ถึงแม้สมุนตาย ปรเมศวร์-ตฤณห์ ชี้เป้าพลิกลิ้นยิ่งซวย