จากกรณี นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พา นางสาวแอน (นามสมมุติ) อายุ 30 ปี PR สาวผู้เสียหาย และนายหนึ่ง (นามสมมุติ) อายุ 42 ปี อาชีพผู้รับเหมาก่อสร้าง ร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือกับนายกรัฐมนตรี ผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล โดยมี ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีรัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรับเรื่อง

ไทม์ไลน์สาวพีอาร์ถูกตำรวจจับยาเรียกเงินก่อนข่มขืน



นายเอกภพ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ผู้เสียหายทั้ง 2 คน ถูกตำรวจ 7 คน ยศ ร้อยตำรวจตรี 1 นาย, สิบตำรวจเอก 2 นาย, ดาบ 3 นาย, จ่าสิบตำรวจ 1 นาย ค้นตรวจสอบรถยนต์หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ย่านคลอง 5 ที่เป็นที่ทำงานของผู้เสียหายผู้หญิง ในรถพบยาเคไม่ถึงกรัม และมีการข่มขู่เธอว่า แม้แฟนหนุ่มจะเป็นคนซื้อยามา แต่ก็ตรวจพบในรถซึ่งเธอจะต้องรับผิดชอบด้วย จากนั้นตำรวจก็ขับพาผู้เสียหายแยกกับแฟน ขับตระเวณไปก่อนที่จะพาไปยังกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี

โดยระหว่างทางก็มีการตรวจสอบมือถือ ก็พบว่า หญิงผู้เสียหายมีเงินในบัญชีจำนวน 360,000 บาท จึงเสนอว่า “ถ้ามึงไม่อยากติดคุกเดี๋ยวกูคุยกับนายให้ เอาเงินมา 3 แสน” แต่เมื่อได้เงินไปแล้วก็มีตำรวจในกลุ่มดังกล่าว บังคับเธอไปข่มขืนอีกด้วย และเมื่อแฟนหนุ่มมารู้เรื่องภายหลังประกันตัวออกมาก็เลยพามาร้องเรียนขอความข่วยเหลือ

ด้าน น.ส.แอน บอกว่า หลังตำรวจมาค้นรถและเจอยาเคและมีการตรวจสอบมือถือเธอแต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ และมีการเจรจาเอาเงิน เพื่อแลกกับการเปลี่ยนข้อหาครอบครองยาเค เป็นข้อหาครอบครองยาบ้า 2 เม็ด เนื่องจากอ้างว่าหากลดเป็นครอบครองยาบ้า ไม่เกิน 5 เม็ดจะไม่ติดคุก แต่หากครอบครองเคตามีนไม่ว่ากี่กรัมก็ต้องถูกดำเนินคดี ซึ่งเธอไม่มีความรู้และไม่อยากให้แฟนติดคุกจึงยอม และยังบอกว่าวันเกิดเหตุตำรวจทั้งหมด บังคับให้เอากล้องและการ์ดออกจากกล้องหน้ารถของเธอทั้งหมด และขณะที่เข้าค้นไม่มีการแสดงตัวหรือแสดงบัตรอะไรเลย



หลังจากเจรจาเรื่องเงิน ตำรวจได้ขับพาเธอออกไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม 2 จุด ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จุกแรกกดออกไป 2 แสน และจุดที่ 2 อีก 1 แสนบาท จนครบ 300,000 บาท ซึ่งตำรวจให้เธอไปกดเงินเพียงคนเดียว เพื่อหลบกล้องวงจรปิด

แต่ระหว่างที่แบ่งเงินกัน มี 1 ในตำรวจ 7 คน พูดกับผู้เสียหาย ว่า "เป็นคนเจรจากับนายให้จะได้อะไรเป็นพิเศษหรือไม่ เงิน 3 แสนเป็นของนาย กูไม่ได้อะไรเลย มึงจะให้ค่าเหนื่อยอะไรกูบ้าง"

ผู้เสียหาย ก็ตอบไปว่า ตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้วเงินก็กดให้ไปจนหมดแล้ว ตำรวจคนดังกล่าวจึงแจ้งว่างั้นต้องร่วมหลับนอนด้วยเพื่อเป็นค่าคุยกับนาย จากนั้นตำรวจบังคับพาผู้เสียหายไปข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ย่านรังสิต และหลังจากข่มขืนเสร็จ ประมาณตี 3 ของเช้าวันที่ 24 พฤศจิกายน จากนั้นบังคับผู้เสียหายกดเงินไปอีก 30,000 บาท ก่อนพาผู้เสียหายกลับมาที่กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี

ส่วนแฟนของผู้เสียหายที่ถูกจับมาด้วยนั้น ก็ถูกส่งตัวไปดำเนินคดีที่ สภ.ธัญบุรี ในข้อหาครอบครองยาบ้า 2 เม็ด



ขณะที่นายหนึ่ง (นามสมมติ) แฟนผู้เสียหาย เปิดเผยว่า หลังได้ประกันตัวออกมา 2 สัปดาห์ สังเกตุเห็นแฟนตัวเองมีอาการผิดปกติ ซึมเศร้า เข้าไม่กิน ไม่ค่อยพูดจา จึงได้พยายามเค้นสอบถาม จึงรู้ความจริงว่า นอกจากเสียเงิน 330,000 บาท แล้วยังถูกตำรวจชุดจับกุมข่มขืนด้วย จึงมาร้องเรียนเพราะทำใจไม่ได้สงสารแฟน ไม่อยากให้แฟนมาโดนอะไรแบบนี้ ถ้าแลกได้เตนเองยอมติดคุกดีกว่าให้แฟนโดนทำร้ายแบบนี้

น.ส แอน (นามสมมุติ) ผู้เสียหาย เล่าว่า เมื่อคืนนี้เพื่อนตนที่อยู่ที่หอพักบอกว่าตอนประมาณ 4 ทุ่ม ได้มีรถเก๋งมาขับวนไปวนมาแถวที่พัก สังเกตในรถมีผู้ชายประมาณ 3-4 คน ซึ่งผิดสังเกตจึงรู้สึกไม่ปลอดภัย และเกรงจะได้รับอันตรายจึงไม่กล้ากลับไปซึ่งตนเชื่อว่าเป็นกลุ่มผู้ต้องหา เพราะตนไม่เคยมีศัตรูที่ไหน

ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดเรื่องยังไม่มีใครโทร. มาข่มขู่หรือขอเคลียร์ ซึ่งตนก็อยากให้มีการดำเนินคดีจับคนก่อเหตุให้ได้ ตนเองจะได้ใช้ชีวิตเป็นปกติ พร้อมฝากถึง ตำรวจที่กระทำความผิด ให้มามอบตัวรับความผิดที่กระทำไว้ เพราะเป็นตำรวจ เป็นที่พึ่งของประชาชน ถ้าตำรวจทำเเบบนี้เเล้วประชาชนจะอยู่ได้อย่างไรและจะเชื่อใครได้บ้าง

เปิดหลักฐานสาวพีอาร์ ถูกอุ้มกดเงิน 3 แสน

ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางไปสำรวจ จุดที่ผู้เสียหายอ้างว่าเป็นการกดเอทีเอ็มจุดแรก โดยตู้เอทีเอ็มดังกล่าวอยู่ห่างจาก ตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานีเพียง 3 กิโลเมตร ตั้งอยู่เส้นทางมุ่งหน้าลาดหลุมแก้ว โดยช่วงที่ทีมข่าวลงพื้นที่มาสำรวจนั้นพบว่าตู้เอทีเอ็มเป็นตู้ของธนาคารกสิกรไทย ตั้งอยู่ทางเข้าโรงงานไอศครีมแห่งหนึ่ง แต่จุดดังกล่าวค่อนข้างมืดและเปลี่ยว เพราะเนื่องจากมีเพียงแค่ตู้เอทีเอ็มตู้เดียวที่ตั้งอยู่ติดกับป้ายรถเมล์ และล้อมรอบด้วยพื้นที่ว่างเปล่าและต้นหญ้า



และจากการลงพื้นที่ของทีมข่าวพบว่าตู้เอทีเอ็มตู้ดังกล่าวมีเลขรหัสติดอยู่คือ “S1A7103” ซึ่งตรงตามรายการสเตทเมนต์ หลักฐานที่ยืนยันว่ามีการกดที่ตู้ดังกล่าวจริง ตามช่วงเวลาประมาณ 00.28-00.48 น. เพราะเลขรหัสของตู้ไปตรงกับรายการในสเตทเม้นต์ แต่จากการตรวจสอบบริเวณดังกล่าวไม่มีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ เพราะเนื่องจาก ไม่มีบ้านเรือนหรือร้านค้า

ทีมข่าวยังได้มีการตรวจสอบกล้องวงจรปิดฝั่งตรงข้าม ซึ่งจะมีกล้องของเอกชนซึ่งเป็นบริษัทอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง จับภาพรถต้องสงสัย ซึ่งเป็นลักษณะแสงไฟ ช่วงเวลาประมาณ 00.33 น. ซึ่งตรงตามสเตทเมนต์ของผู้เสียหาย รถคันดังกล่าวขับออกจากข้างทางที่มีตู้เอทีเอ็มตั้งอยู่ โดยจะเห็นเพียงแค่แสงไฟขับขับออกมา

จากนั้นจะมีภาพซึ่งเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดฝั่งตรงข้ามอีกมุม จับภาพรถเก๋งสีบอลเทา ยูเทิร์นเพื่อกลับ กลับไปยังตำรวจภูธรปทุมธานี โดยมีภาพนิ่งจากกล้องวงจรปิดบันทึกภาพได้ ซึ่งจะเห็นว่ารถคันดังกล่าวขับผ่านกล้อง และฝั่งตรงข้าม จะเห็นว่ามีตู้เอทีเอ็มตั้งอยู่

และจากคำให้การของผู้เสียหาย ที่มีการเข้าแจ้งความในวันนี้ โดยมีการให้การว่าการก่อเหตุของกลุ่มตำรวจ มีการใช้รถจำนวนทั้งหมด 3 คัน โดยคันที่ผู้เสียหายนั่งจะเป็นรถเก๋งสีบรอนด์เทา ซึ่งจากจุดจับกุมจนกระทั่งมาถึงตำรวจภูธรปทุมธานี เจ้าตัวอ้างว่ามีการขับรถตามกันมาเป็นขบวน ส่วนคันอื่นจำยี่ห้อรถไม่ได้ แต่มีรถเก๋งและกระบะสีดำ ทีมจึงได้มีการตรวจสอบกล้องวงจรปิดช่วงเวลาตามที่ผู้เสียหายระบุ คือช่วงเที่ยงคืนของคืนดังกล่าว โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดก่อนถึงตำรวจภูธรปทุมธานี จับภาพกลุ่มขบวนรถต้องสงสัย

ขณะเดียวกันทีมข่าวได้รับภาพนิ่งเพิ่มเติม ซึ่งเป็นภาพนิ่งจากกล้องวงจรปิดในคืนที่ผู้เสียหายอ้างว่า มีการถูกใช้ให้ไปกดเอทีเอ็มเพื่อที่จะนำเงินมาให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดมุมไกลจับภาพนิ่งเห็นผู้เสียหายเข้าไปกดที่ตู้ดังกล่าว ในจุดที่ 1 ตามที่มีการให้การเอาไว้



อีกทั้งทีมข่าวช่อง 8 ยังได้เดินทางไปยังจุดที่กลุ่มตำรวจคนก่อเหตุพาผู้เสียหายไปกดเอทีเอ็มเป็นจุดที่ 2 โดยจุดดังกล่าวนั้นอยู่บริเวณด้านหน้าตลาดสะพานฟ้า เลียบคลองรังสิต-นครนายก ขาเข้า โดยตลาดดังกล่าวเป็นตลาดโต้รุ่งซึ่งมักจะมีกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า และรวมถึงวินมอเตอร์ไซค์ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง แต่ช่วงกลางคืนคนจะค่อนข้างบางตากว่าช่วงค่ำ โดยจุดกดเงินที่ 2 ห่างจากตำรวจภูธรปทุมธานีประมาณ 17 กิโลเมตร

สำหรับตู้เอทีเอ็มของธนาคารกสิกรไทยจุดที่ผู้เสียหายไปทำการกดเงินเพิ่มเติมนั้น อยู่ติดกับร้านสะดวกซื้อ (7-11) ซึ่งตามสเตทเมนต์ของผู้เสียหายที่ระบุเลขตู้ที่มีการกด คือ “S1C2943” ปรากฏว่าตอนที่ทีมข่าวเดินทางไปถึง ตู้ดังกล่าวก็มีเลขรหัสตรงตามสเตทเมนต์จริง

และจากการสังเกตของทีมข่าวจากการลงพื้นที่จุดกดเงินทั้ง 2 จุด มักจะมีการเลือกตู้ที่อยู่นอกแนวเขตหรือรัศมีของกล้องวงจรปิด เพราะจุดแรกอยู่ท่ามกลางโรงงานและตั้งอยู่ริมทางมืดเปลี่ยว ส่วนจุดที่ 2 แม้ว่าจะอยู่ทางเข้าตลาด แต่ก็เป็นมุมอับที่ไม่มีมุมกล้องวงจรปิดจับภาพได้

ขณะที่ต่อมาทีมข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังบริเวณหอพัก ซึ่งเป็นที่พักของ น.ส.แอน และ นายหนึ่ง สองสามีภรรยาเหยื่อของ 7 ตำรวจ รีดทรัพย์และข่มขืน เพื่อตรวจสอบตามที่ผู้เสียหายระบุว่ามีกลุ่มชายต้องสงสัย มาขับรถวนเวียนแถวหอพักของผู้เสียหายเมื่อคืนที่ผ่านมา

โดยทีมข่าวได้ภาพจากกล้องวงจรปิด ของหอพัก พบว่าช่วง 20.39 น. รถของผู้เสียหายกำลังถอยเข้าจอดฝั่งตรงข้ามหอพัก (เห็นแสงไฟรถตอนถอยจอด) จากนั้นผู้หญิงก็เดินมาพร้อมกับสามี โดยมีการแวะพูดคุยกับผู้ดูแลหอพัก ซึ่งเรียกให้กินอาหารตามปกติของคนรู้จักกัน โดยยืนคุยไม่นานทั้ง 2 คน ก็รีบขึ้นห้องพักไป

ทีมข่าวได้สอบถาม นายบี (นามสมมุติ) ผู้ดูแลหอพัก เปิดเผยว่า เมื่อคืนผู้เสียหายทั้งสองคนได้กลับมายังห้องพัก ซึ่งก็ได้มีการทักทายกันปกติแต่ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน ส่วนที่ผู้เสียหายระบุว่ามีรถต้องสงสัย มาวนเวียนอยู่หน้าห้องพักตนเองไม่เห็น แต่หลังจากที่ตนเองปิดร้านแล้วจึงไม่รู้ว่ามีผู้ใดเป็นคนเห็น ซึ่งถนนบริเวณนี้จะมีรถวิ่งเข้า-ออกอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากคนที่รู้ทางก็จะวิ่งผ่านไปด้านหลัง เพราะเป็นทางลัดที่สามมาทะลุออกไปได้หลายทาง แต่ถ้าหาก มีรถเป็นไปตามที่ผู้เสียหายบอกไว้ก็อาจจะเป็นไปได้ที่จะวนกลับมาทางเดิมกระทั่งมีผู้พบเห็น ซึ่งที่ผ่านมาทั้ง 2 คน อาศัยที่นี่มานานกว่า 10 ปี สามีทำงานเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างส่วนภรรยาทำงานกลางคืนก็เลิกงานสามีก็จะไปรับตามปกติที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกับใคร มาก่อนแต่อย่างใด



ขณะที่ พล.ต.ท.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผบช.ภ.1 เปิดเผยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ในส่วนของนายกรัฐมนตรี ผบ.ตร. ให้ความสำคัญ ในส่วนของตำรวจภูธรภาค 1 เราได้ตรวจสอบโดยเร่งด่วน พบว่า มีการจับกุมในคดีนี้จริงมีตำรวจทั้งหมดที่พิสูจน์ทราบ 7 นาย อย่างไรก็ตามเราต้องให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย เบื้องต้นได้ออกคำสั่งให้ตำรวจทั้ง 7 นายให้มาปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี พร้อมทั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เรายืนยันสังคมให้ได้รับทราบว่าเรื่องนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกระดับชั้นรับไม่ได้ถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง และเราจะดำเนินการตามกฏหมายทางคดีอาญาโดยเคร่งครัด และทางวินัยเราจะดำเนินการทางวินัยอย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกัน ยืนยันว่าจะดำเนินการโดยเด็ดขาด ทางการสืบสวนบางอย่างต้องรอพยานหลักฐานที่ชัดเจนมายืนยันไม่ด่วนสรุปเรารับฟังทุกฝ่าย

ทีมข่าวเดินทางมายังกองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี ซึ่งถูกระบุว่าเป็นหน่วยงานต้นสังกัดตามที่ผู้บังคับบัญชา บอกว่าตำรวจทั้ง 7 นายปฎิบัติหน้าที่อยู่ที่หน่วยงานนี้

ทั้งนี้จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานภายในหน่วยงาน แจ้งว่าผู้กำกับการที่เพิ่งย้ายมาใหม่เพียง 5 วัน ออกไปปฎิบัติภารกิจด้านนอก ไม่สามารถที่จะเปิดเผยรายละเอียดคดีที่เกิดขึ้นได้

แต่เมื่อทีมข่าวถามว่าหน่วยงานนี้ มีหน่วยปฏิบัติการพิเศษ หรือ นปพ. ตั้งอยู่ในสังกัดเดียวกันหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่รายนี้ว่า “อยู่ในหน่วยงานเดียวกัน”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการคำสั่งย้ายในครั้งนี้ ตำรวจทั้ง 7 นาย ไม่ได้ถูกย้ายปฏิบัติการข้ามจังหวัดหรือข้ามอำเภอ แต่แค่ย้ายจากอาคารด้านหน้าซึ่งเป็นอาคารต้นสังกัด ไปยัง สปก.ตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังเพียงเท่านั้น

ขณะที่ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ฝากถึง พล.ต.ท.จิรสันต์ เเก้วเเสงเอก ผบช. ภาค 1 ว่าการสั่งย้ายตำรวจ 7 นาย ไปศูนย์ปฎิบัติการ ศปก.ภจว.ปทุมธานี ย้ายออกไปข้างตึกเพื่ออะไร เดินห่างกัน 5 เมตร 10 เมตร ไม่มีประโยชน์ เวลาย้ายจะต้องย้ายออกนอกหน่วยให้ห่างไกลจากพื้นที่ที่เขายังมีอำนาจอยู่ การทำเเบบนี้เป็นการเล่นละคร เเบบนี้มันหมดยุคเเล้วตำรวจ 7 นาย มีหน้าที่ในการสืบสวนปราบปรามปัญหายาเสพติด เเต่กลับทำเสียเอง หากมีการโอบอุ้มคนทำผิด ประชาชนจะอยู่กันอย่างไร

"เชื่อว่าเงินที่ได้มาไม่เชื่อว่า จะจบอยู่ที่ 7 คน ถ้าหัวไม่ส่ายหางคงไม่กระดิก ลำพังเเค่ตบทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ยังไม่หนักเท่ากับการข่มขืน การกระทำของ ตร. ทั้ง 7 คน ยิ่งกว่าโจร"



ขณะที่ผู้เสียหายทั้งสองเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ประตูน้ำจุฬา เพื่อชี้ตัวผู้หารายสำคัญที่อยู่ในแก๊งตำรวจก่อเหตุอุ้มผู้เสียหาย รีดทรัพย์ และข่มขืน แลกปล่อยคดียาเสพติด โดยชายคนนี้เป็นพลเรือนปกติไม่ใช่ตำรวจแต่เป็นคนที่ก่อเหตุข่มขืนหญิงผู้เสียหาย ซึ่งตำรวจได้นำภาพถ่ายของชายคนนี้ให้กับผู้เสียหายเพื่อชี้ตัวยืนยัน

และผู้เสียหายทั้ง 2 คน ยืนยันว่า ใช่คนเดียวกับที่ก่อเหตุข่มขืน แต่ระหว่างที่มีการชี้ตัวขอไม่ให้มีการบันทึกภาพเนื่องจากมาเพียง 2 คน จึงกังวลว่าจะมีผู้อื่นรู้หากผู้สื่อข่าวถ่ายภาพ โดยขั้นตอนหลังจากนี้ตำรวจต้องสอบปากคำผู้เสียหายและรวบรวมหลักฐาน ขอศาลออกหมายจับทันที

นอกจากนี้ นายหนึ่ง แฟนผู้เสียหาย เผยว่ายังเกิดความกังวลว่า จะมีคนมาดักอุ้มมาดักทำร้าย ทำให้ต้องระวังตัวตลอดเวลา ตอนนี้ก็ยังไม่ได้สามารถประกอบอาชีพและทำมาหากินอะไรได้ และยังบอกอีกว่า ยาเค ที่ซื้อมานั้น ซื้อมาจากนายก๊อฟ คือคนที่รู้จักกันในสถานบันเทิง ย่านคลอง 2 ซึ่งรู้จักและเคยซื้อยากันมาหลายครั้ง (ไม่ถึง 10 ครั้ง)

ขณะที่นายเอกภพ ระบุเพิ่มเติม เชื่อว่า นายก๊อฟเป็นสายให้กับตำรวจ ทำหน้าที่ส่งยา เพราะเมื่อส่งยาให้กับผู้เสียหายแล้ว ตำรวจก็เข้าตรวจค้นทันที ซึ่งผิดสังเกตจึงอยากให้ตำรวจไปตรวจสอบคนที่ชื่อก๊อฟ ว่านำยามายาตำรวจและชี้เป้าให้มารีดไถหรือไม่และหลังเกิดเหตุ ทางตนได้ประสานไปยัง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ให้ตรวจสอบ เพราะมองว่าพฤติการณ์แบบนี้ผิดวิสัยและไม่มีศีลธรรม หากผู้บังคับใช้กฎหมายปฏิบัติแบบนี้ประเทศชาติจะเหลืออะไร แทนที่จะปราบปรามนโยบายอย่างจริงจังจึงอยากเตรียมว่าเรื่องนี้ตำรวจผิดทุกทาง จึงอยากให้ดำเนินคดี หากพบว่าผิดจริงอยากให้ดำเนินการถึงที่สุด

เปิดหลักฐานจะจะ อุ้มสาวพีอาร์เข้า รร. เจอจริงขบวนรถ สั่งย้าย 7 ตำรวจผัวแค้นถูกตลบหลัง