คืบหน้ากรณีเรือน้ำมันของกลาง 5 ลำ มีการตรวจยึดบริเวณทะเลฝั่งชลบุรี และปรากฏว่าวันที่ 8-9 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีคลื่นลมลมแรง จนเป็นเหตุทำให้ต้องนำเรือของกลางขยับห่างจากท่าเทียบเรือ เพราะป้องกันเรือเสียหาย โดยมีการขยับเรือ 3 ลำ มีน้ำมันเถื่อนบรรจุอยู่ในเรือรวมกว่า 3.3 แสนลิตร และหลังจากที่ขยับเรือออกวันที่ 9 มิ.ย. ปรากฏว่าวันที่ 11 มิ.ย. ช่วงกลางคืน เรือหายไปจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จังหวัดชลบุรี นั้น




ล่าสุดวันนี้ (13 มิ.ย. 2567) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วย พ.ต.อ.อินทรัตน์ ปัญญา ผู้กำกับ 5 กองบังคับการตำรวจน้ำ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. เจ้าหน้าตำรวจสอบสวนกลาง และเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำ ร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าหาข้อเท็จจริง เรือบรรทุกน้ำมันหาย 3 ลำ ณ ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยใช้เวลาประชุมนานเกือบ 3 ชั่วโมง




พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยหลังการประชุม ว่า หลังจากสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำชุดที่เข้าเวร พบว่ามีการปฏิบัติหน้ายังไม่สมบูรณ์ ตามหน้าที่ไม่ครบถ้วน หรือพูดง่าย ๆว่า ไม่ทำหน้าที่ จนทำให้เกิดความเสียหาย จำนวน 2-3 คน โดยจะมีการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ขณะนี้ได้มีการตั้งกรรมการสืบสวน ของ ปปป. คู่ขนานไปกับตำรวจน้ำ ซึ่ง ปป.จะทำการสืบสวนเมื่อพบความผิดก็จะแจ้งข้อหา ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ที่ไม่สมบูรณ์ถือว่าเข้าข่าย 157 พร้อมจะมีขยายผลและไม่หยุดดำเนินคดีเพียงแค่นี้ อีกทั้งจะเร่งตามทรัพย์สินกลับคืนมา


ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะดำเนิน 157 ไม่รวมถึงนายตำรวจทั้ง 5 นาย ที่มีการออกคำสั่งให้ช่วยราชการ และจะมีการสอบสวนทั้ง 5 นายว่าใครที่ทำหน้าที่ครบถ้วนแล้วหรือไม่ จากนี้จะมีการทำหนังสือเรียกลูกเรือทั้ง 17 คน เข้ามารายงานตัวและสอบปากคำลูกเรือทุกคน ในวันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน นี้ ที่ ปอศ. และเจ้าหน้าชุดสืบสวนของกองปราบอยู่หว่างการสกรีนรูปภาพจากกล้องวงจรปิดว่ามีลูกเรือคนไหนอยู่บ้างไม่อยู่บ้าง ทั้งนี้เชื่อว่าลูกเรือทั้ง 17 คน ไปกับเรือทั้ง 3 ลำ แค่จะมีลูกเรือกี่คนที่ไปกำกับเรือ แต่จะมีกี่คน ขณะนี้อยู่ในขั้นการรวบรวมหลักฐาน ซึ่งก่อนที่จะเกิดเหตุกล้องวงจรปิดจับภาพได้ว่ามีในช่วงเย็นก่อนเรือจะหายลูกเรือมีการขนของในช่วงเย็น โดยในส่วนตรงนี้จะมีการออกหมายจับลูกเรือในชุดแรก




พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เปิดเผยต่อว่า จากการสอบสวนทางเทคนิคและใต้ดิน ซึ่งทางใต้ดินมีความเชื่อมโยงว่าเรือทั้ง 3 ลำจะข้ามน่านน้ำไทย และเรือทั้ง 3 ลำไม่มีการติดจีพีเอสและดาวเทียมอย่างแน่นอน เชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีการวางแผนเอาไว้และมีการนำเครื่องมืออื่นมาใส่ในการให้เรือเดินเรือแทน อีกทั้งอาจจะมีการเดินเรือด้วยการยิงดาวเทียมเอสไว้ก่อน โดยจะเร่งออกหมายจับให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิด เกิดจากเจ้าหน้าตำรวจน้ำทำงานบกพร่อง


วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้า โดยได้เดินทางไปที่ท่าเรือตำรวจน้ำ ซึ่งเป็นท่าเรือที่เกิดเหตุที่พบว่าเรือของกลางหายไป โดยทีมข่าวสามารถเดินไปได้ครึ่ง ไม่สามารถเข้าประตูเหล็กของท่าเรือได้ เพราะเนื่องจากมีการล็อกด้วยโซ่และกุญแจเอาไว้อย่างดี จะมีเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจเวรและรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำเท่านั้นที่มีกุญแจผ่านเข้า-ออก ซึ่งคนนอกรวมถึงกลุ่มตกปลาก็ไม่สามารถที่จะผ่านประตูรั้วดังกล่าวเข้าไปได้




และช่วงที่ทีมข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น ทีมข่าวได้มีการตรวจสอบไทม์ไลน์ของเรือในวันที่คลื่นลมเริ่มซัด ก่อนที่จะมีการลากเรือออกไปยังจุดจอดบริเวณกลางทะเล ห่างจากสะพานประมาณ 200 เมตร โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพวันที่ 9 มิ.ย จับภาพเวลา 18.40 น. เป็นช่วงบรรยากาศตอนเย็น จะเห็นว่าเรือเริ่มที่จะเครง จากคลื่นลมและพายุพายุที่กำลังก่อตัว แต่บนเรือจะเห็นว่ายังคงมีคนงานประจำเรือคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่บนเรือ แม้ว่าจะถูกอายัดเอาไว้ก็ตาม




และวันเดียวกัน 9 มิ.ย. เวลา 19.02 น. หลังจากที่คลื่นลมเริ่มแรง ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำ 2 นาย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแวด เข้ามาดูแลความเรียบร้อยที่ท่าเรือ ก่อนที่จะอนุญาตให้เรือ มีการนำเรือออกไปจอดกลางทะเลเพื่อไม่ให้เรือกระทบกับท่าเรือตำรวจน้ำ โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพดังกล่าวเอาไว้ได้




จากนั้นเรือก็จะจอดนิ่งอยู่กลางทะเล หลังจากที่มีการขยับเรือออกไปจอดเพื่อหลบคลื่นคลื่นไม่ให้กระแทกกับถ้าเทียบเรือของตำรวจ จนมีภาพจากกล้องวงจรปิดวันที่ 11 มิ.ย. เวลา 10.30 น. เรือของกลางยังขอดอยู่ และในเดียวกัน 11 มิ.ย. เวลา 20.09 น. จะเห็นช่วงต้นแสงไฟเรือยังติดอยู่ แต่สักพักจะเห็นว่าแสงไฟเรือเริ่มลิบหลี่ คล้ายกับมีการดับไฟเรือ แต่จากข้อมูลพบว่าเรือคันดังกล่าว มีลักษณะขับแล่นออกกลางทะเล จึงทำให้แสงไฟ แสงไฟค่อย ๆ หาย เหมือนไฟเรือดับ ซึ่งเป็นวินาทีที่เรือมีการขับออกจากท่าเรือของตำรวจน้ำ และเช้าวันรุ่งขึ้นรุ่ง 12 มิ.ย. เวลา 05.45 น. เรือหายไปแล้ว มีเพียงทะเลที่ว่างเปล่า เพราะเรือขับออกตั้งแต่ช่วงค่ำวานนี้




ขณะเดียวกัน ทีมข่าวตรวจสอบกล้องวงจรปิดของท่าเรือตำรวจน้ำเพิ่มเติม ซึ่งจับภาพรถกระบะสีดำต้องสงสัย มีการขับเข้าและออกท่าเรือ ในวันที่เรือมียีลักษณะนำไปลอยลำอยู่กลางทะเลห่างจากท่าเรือ โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดวันที่ 10 มิ.ย. จับภาพช่วงเวลาประมาณ 10.50 น. เอาไว้ได้ จะเห็นว่ารถกระบะคันดังกล่าว มีลักษณะขับบรรทุกถังเข้าไปที่ท่าเรือ จากนั้นผ่านไปประมาณ 25-30 นาที มีการขับออก ลักษณะรถยกหน้าซุ้มล้อด้านหลังติด เพราะเนื่องจากมีการบรรทุกของหนักออกมา


นอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้ไปพูดคุยกับ นางสาวมะลิ (นามสมมติ) ชาวบ้านในพื้นที่ในฐานะพยาน เจ้าตัวเจอกับทีมข่าว ได้มีการส่งคลิป ซึ่งเป็นลูกเรือบนเรือหนึ่งใน 3 ลำ ที่หายไปจากท่าเทียบเรือ ซึ่งคลิปดังกล่าวมีการถ่ายเอาไว้ในวันก่อนที่เรือจะออกไปลอยลำและหายไปจากน่านน้ำ ซึ่งในคลิปจะเห็นเป็นผู้ชายใส่ชุดเดรสผู้หญิง ใส่หมวกขาว กางเกงรัดรูป โดยเจ้าตัวไม่ใช่สาวประเภทสองแต่เป็นผู้ชายปกติ แต่เนื่องด้วยอยู่บนเรือนานไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ แม่ค้าขายของบริเวณทางเข้าท่าเรือมีการเอาชุดให้ใส่ เจ้าตัวจึงสวมใส่ชุดดังกล่าวเพื่อออกมาซื้อของกินแล้วถูกถ่ายคลิปเอาไว้




โดยคลิปดังกล่าว มีการพูดคุย และสื่อสารใจความว่า "ใกล้จะได้กลับแล้ว แต่ต้องรอขึ้นศาลวันที่ 21 มิ.ย. แต่เบื้องต้น เสธ. ยังไม่ให้กลับ และตอนนี้ทุกคนก็ต้องกลับขึ้นเรือเพราะ คลื่นลมแรง และ เสธ. ก็ยังมีการสั่งไม่ให้คนบนเรือไปยุ่งกับตำรวจน้ำ ให้ระวังเรือน้ำมันให้ดีช่วยกันดูแล เรื่องของตำรวจน้ำเป็นเรื่องเล็ก แต่เรื่องเรือและน้ำมันบนเรือเป็นเรื่องใหญ่ให้ช่วยกันดูแล" โดยคลิปดังกล่าวมีการบันทึกเอาไว้ประมาณเกือบ 3 นาที


นางสาวมะลิ เปิดใจว่า ขบวนการขนน้ำมันออกจากท่าเรือตำรวจน้ำ ตนเห็นมาพักใหญ่แล้ว แต่ไม่ได้ทีเหมือนช่วงที่มีการจับกุมเรือน้ำมันเถื่อน โดยก่อนหน้านี้จะมีรถกระบะสีดำบรรทุกถังเข้าไป เอาสิ่งของบางอย่างซึ่งเป็นลักษณะของเหลว กลิ่นคล้ายน้ำมันออกมา ซึ่งตนเองเคยถามตำรวจคนที่ขับรถกระบะสีดำ ว่าเอาอะไรออกมาจากท่าเรือ เจ้าตัวอ้างว่าไม่ได้เอาออกแต่ขนน้ำดิบเข้าไปส่ง แต่ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่น้ำดิบเพราะเนื่องจากมีการคลุมผ้าใบประกอบกับได้กลิ่นน้ำมัน




จนกระทั่งช่วงเดือนมีนาคม มีการจับเรือขนน้ำมันเถื่อนได้ 5 ลำ และเอามาตรวจยึดไว้ที่ท่าเรือตำรวจน้ำ จึงทำให้มีรถกระบะของตำรวจ ซึ่งเป็นกระบะสีดำ ขับเข้าออกบ่อยครั้งมากขึ้น ส่วนใหญ่จะมีทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งที่ประตูปิดล็อกแต่ก็ขับเข้าออกได้ โดยมีการขนไม่ต่ำกว่า 10 เที่ยวต่อวัน ก็เป็นไปตามที่ภาพกล้องวงจรปิดจับภาพ


และสำหรับตำรวจที่ยืนอยู่ในภาพกล้องวงจรปิด ก่อนที่เรือจะมีการขยับออกจากฝั่งไปจอดกลางทะเล เป็นตำรวจที่เป็นสิบเวร กับตำรวจคนที่เป็นคนขับรถกระบะสีดำ ซึ่งยืนอยู่ในภาพกล้องวงจรปิดเห็นภาพชัดเจน ส่วนกลุ่มคนที่เป็นหูเป็นตาให้กับชุดตำรวจที่มีการกระทำผิด และอาจมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการให้เรือไปลอยลำก่อนเรือหาย ก็จะเป็นกลุ่มที่มีส่วนได้เสีย โดยเป็นกลุ่มชาวบ้านซึ่งมีการขับรถเข้า-ออก โดยเอายาเสพติดและของผิดกฎหมายไปส่งบนเรือ แลกกับค่าตอบแทน และบุคคลที่ส่งสิ่งผิดกฎหมายขึ้นไปบนเรือ ก็ยังเกี่ยวข้องกับรถกระบะสีดำที่ขนน้ำมันออกมา

 

ไขปริศนา! เรือน้ำมันเถื่อนของกลางหาย ช่อง 8 เปิดคลิปลับกระบะดำโผล่ก่อนวันเรือหาย