คืบหน้ากรณีเรือน้ำมันของกลาง 5 ลำ มีการตรวจยึดบริเวณทะเลฝั่งชลบุรี และปรากฏว่าวันที่ 8-9 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีคลื่นลมลมแรง จนเป็นเหตุทำให้ต้องนำเรือของกลางขยับห่างจากท่าเทียบเรือ เพราะป้องกันเรือเสียหาย โดยมีการขยับเรือ 3 ลำ มีน้ำมันเถื่อนบรรจุอยู่ในเรือรวมกว่า 3.3 แสนลิตร และหลังจากที่ขยับเรือออกวันที่ 9 มิ.ย. ปรากฏว่าวันที่ 11 มิ.ย. ช่วงกลางคืน เรือหายไปจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จังหวัดชลบุรี นั้น




วันนี้ (14 มิ.ย. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้า โดยมีการตรวจสอบไทม์ไลน์กล้องวงจรปิดเพิ่มเติม เพื่อดูความเคลื่อนไหวของเรือ 3 ลำ ที่หายไปจากท่าเรือตำรวจน้ำ โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดวันที่ 11 มิ.ย. จับภาพความเคลื่อนไหวเอาไว้ ก่อนที่เรือจะอันตทานหายไป




วงจรปิดช่วงเช้า เวลาประมาณ 06.00 น. วันที่ 11 มิ.ย. จับภาพเรือ 3 ลำ ยังคงลอยลำอยู่กลางทะเล ต่อมาเวลา 18.00 น. โดยประมาณของวันเดียวกัน ยังเห็นเรือ 3 ลำ ลอยลำอยู่ตำแหน่งเดิม






จากนั้นเวลาประมาณ 19.00 น. วันเดียวกัน เห็นว่าเรือลำที่อยู่ตรงกลาง มีการเปิดไฟ และดับไฟ ก่อนที่จะเห็นมีความเคลื่อนไหวขยับไปทางซ้าย เพื่อห่างออกจากเรือ 2 ลำ แล้วจะเห็นบางช่วงตอนที่เรือขยับออกห่างไปทางซ้ายจะมีแสงลิบ ๆ และเวลาประมาณ 19.30 น. จะเห็นเรือจอดติดไฟตำแหน่งห่างกัน จะเห็นแสงไฟเรือฝั่งซ้ายและฝั่งขวา แต่ลำตรงกลางไม่ได้มีการเปิดไฟ




จนกระทั่งวันเดียวกัน ช่วงเวลาประมาณ 20.11 น. จะเป็นวินาทีที่เรือค่อย ๆ แล่นออกทะเล ซึ่งจะเห็นแสงไฟของเรือฝั่งซ้ายจะค่อยค่อยจางหายวูบดับไปก่อน ส่วนเรือฝั่งขวาก็จะค่อย ๆ ขยับและดับไปเช่นกัน จากนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นของวันที่ 12 มิ.ย. ช่วงเช้า เวลาประมาณ 06.00 น. จะเห็นตำแหน่งที่เรือจอดอยู่ ว่างเปล่ามีเพียงผืนน้ำทะเล


และเมื่อช่วงเช้า ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง ได้พาทีมข่าวลงเรือเพื่อสำรวจเส้นทางจากบริเวณปลายสะพาน ซึ่งเป็นท่าเทียบเรือของตำรวจน้ำ เพื่อมุ่งหน้าออกสู่ทะเล ฝั่งอ่าวไทย โดยมีการคำนวณและดูลักษณะเส้นทางที่คาดว่าเรือที่หายไปจะมีการ ผ่านออกน่านน้ำบริเวณจุดใดบ้าง




ซึ่งหลังจากที่มีการแล่นเรือออกจากท่าเรือตำรวจน้ำ จากลักษณะภาพกล้องวงจรปิดที่จะจับภาพแสงไฟของเรือก่อนวูบดับหายไป จะพบว่ามีเรือ 1 ลำ จะแล่นผ่านออกช่องทะเลระหว่างชายฝั่งกับเกาะหมู ส่วนเรืออีกลำที่แสงไฟดับวูบตามหลัง จะแล่นผ่านออกระหว่างเกาะหมูกับเกาะพระน้อยผ่านเกาะยอ โดยมีการแยกออกคนละทาง ส่วนเรือลำที่ไม่ได้มีการเปิดไฟ เจ้าหน้าที่คาดการณ์ว่าน่าจะมีการออกตามหลัง เรือลำสุดท้าย และผ่านช่องระหว่างเกาะหมูกับเกาะพระน้อย เพราะเนื่องจากเป็นเส้นทางที่กว้างกว่า


ขณะเดียวกัน ทีมข่าวได้รับภาพจากกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม ซึ่งเป็นภาพเคลื่อนไหว โดยมีรายงานว่าเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำ มีการเดินเข้าออกท่าเรือ ซึ่งเป็นวันที่เรือหาย โดยจะเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมานั่งจับเข่าคุยกันอยู่ใต้ต้นตาลทางเข้าท่าเรือ




ทั้งนี้ มีรายงานว่า เป็นตำรวจน้ำ 3 นาย และส่วนชายอีกคนลักษณะใส่เสื้อสีฟ้า หัวหงอก เป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงทรัพย์พยากรณ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทะเล) และรับผิดชอบดูแลเรือประมง เพราะมีการฝากเรือของกระทรวงฯ จอดเทียบที่ท่าตำรวจน้ำด้วย


ประกอบกับภาพวงจรปิดวันที่ 9 มิ.ย. เวลา 19.02 น. หลังจากที่คลื่นลมเริ่มแรง ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำ 2 นาย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแวด เข้ามาดูแลความเรียบร้อยที่ท่าเรือ ก่อนที่จะอนุญาตให้เรือ มีการนำเรือออกไปจอดกลางทะเลเพื่อไม่ให้เรือกระทบกับท่าเรือตำรวจน้ำ โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพดังกล่าวเอาไว้ได้


วันเดียวกันนี้ ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับลูกเรือ หนึ่งในเรือของกลางที่ถูกยึด แต่ไม่ได้หายไปจากท่าเรือตำรวจน้ำ โดยทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายลาย (นามสมมติ) ลูกเรือบนเรือสีส้ม เผยว่า ในวันเกิดเหตุตนเองไม่รู้ว่าเรือออกไปตอนไหน เพราะตอนนั้นเรือยังลอยลำอยู่ในทะเล ยังไม่ได้เอากลับมาชิดฝั่ง แต่ในคืนนั้นกลุ่มของตัวเองก็นั่งกินเหล้ากันอยู่ ตอนที่นั่งดื่มก็เห็นว่าเรือยังอยู่ปกติ แต่หลังจากเมาแล้วก็เข้านอน ตื่นเช้ามาเรือหายไป ซึ่งก็ไม่ได้เห็นความผิดปกติอะไร ส่วนเรื่องที่เรือออกแล้วมีการดับไฟก็เป็นเรื่องปกติ เพราะถ้าหากไม่ดับไฟคนก็ต้องเห็น ดังนั้นการที่ดับไฟแล่นเรือออกไปนั้นก็เป็นการอำพรางได้ดี




สำหรับเรือสีส้มของตนเอง ตอนนี้เหลือกันอยู่ 2 คน คือไต๋เรือซึ่งทำหน้าที่ขับเรือด้วย กับตนเองซึ่งเป็นรูปเรือ แต่วันที่ โดนจับเรือลำของตนเองอยู่ด้วยกัน 4 คน ซึ่งตอนนี้ 2 คน เดินทางกลับบ้านที่จังหวัดสงขลา แล้วเดี๋ยวจะเดินทางกลับมาใหม่หลังจากที่จะต้องขึ้นศาลและให้ปากคำกับตำรวจสอบสวนกลาง และเรือของตนเองที่ยังอยู่เป็นเพราะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยโจ้ เนื่องจากเป็นเรือคนละเจ้านายกัน ฉะนั้นเรือ 3 ลำ จึงไม่จำเป็นต้องชวนเรือของตนเองออกทะเลไปด้วย เพราะเรือของตนเองเป็นเรือเปล่าไม่ได้มีของกลางหรือน้ำมัน หรือสิ่งของในเรือ




ขณะที่เมื่อวานนี้ทีมข่าวได้รับคลิปหนึ่งจากชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งเป็นคลิปขณะคุยกับลูกเรือบนเรือหนึ่งใน 3 ลำ ที่หายไปจากท่าเทียบเรือ ซึ่งคลิปดังกล่าวมีการถ่ายเอาไว้ในวันก่อนที่เรือจะออกไปลอยลำและหายไปจากน่านน้ำ ซึ่งในคลิปจะเห็นเป็นผู้ชายใส่ชุดเดรสผู้หญิง ใส่หมวกขาว กางเกงรัดรูป โดยเจ้าตัวไม่ใช่สาวประเภทสองแต่เป็นผู้ชายปกติ แต่เนื่องด้วยอยู่บนเรือนานไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ แม่ค้าขายของบริเวณทางเข้าท่าเรือมีการเอาชุดให้ใส่ เจ้าตัวจึงสวมใส่ชุดดังกล่าวเพื่อออกมาซื้อของกินแล้วถูกถ่ายคลิปเอาไว้


โดยคลิปดังกล่าว มีการพูดคุยและสื่อสารใจความว่า "ใกล้จะได้กลับแล้ว แต่ต้องรอขึ้นศาลวันที่ 21 มิ.ย. แต่เบื้องต้น เสธ. ยังไม่ให้กลับ และตอนนี้ทุกคนก็ต้องกลับขึ้นเรือเพราะ คลื่นลมแรง และ เสธ. ก็ยังมีการสั่งไม่ให้คนบนเรือไปยุ่งกับตำรวจน้ำ ให้ระวังเรือน้ำมันให้ดีช่วยกันดูแล เรื่องของตำรวจน้ำเป็นเรื่องเล็ก แต่เรื่องเรือและน้ำมันบนเรือเป็นเรื่องใหญ่ให้ช่วยกันดูแล" นั้น




เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายลาย บอกว่า สำหรับบุคคลที่อยู่ในคลิป ที่มีการลงมาให้ข้อมูลกับชาวบ้านก่อนที่จะหายไปมีการใส่ชุดเดรส แต่งตัวคล้ายผู้หญิง ชายคนดังกล่าวชอบทำตัวบ้าบอ เหมือนเป็นคนสติไม่ดี แต่เขาเป็นคนปกติ เพียงแค่เป็นคนขี้โม้และพูดไปเรื่อย และที่สำคัญตัวเองเชื่อว่าเรื่องของเสธ. ที่มีการพูดถึงคงไม่มีอยู่จริง เพราะตัวของชายคนดังกล่าวเป็นคนพูดเรื่อยเปื่อย เชื่อถือไม่ได้ และส่วนตัวก็ยืนยันว่าไม่มีคนที่เป็นเสธ. คุมเรืออย่างแน่นอน


ส่วนกรณีภาพกล้องวงจรปิด บริเวณทางเข้าท่าเรือตำรวจ จับภาพวันที่ 10 มิ.ย. ช่วงบ่าย ซึ่งเป็นวันก่อนที่เรือจะหายออกจากท่าเทียบเรือ 1 วัน โดยมีรายงานว่ามีแม่ค้าซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่คอยเอาเสบียงไปส่งล็อตใหญ่ ก่อนที่เรือจะหายไป นั้น




ล่าสุดทีมข่าวตรวจสอบกล้องวงจรปิด ปรากฏว่ามีภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพในวันที่ 10 มิ.ย. เวลา 13.20 น. จับภาพรถมอเตอร์ไซค์ของผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อสีเขียว มีของพะรุงพะรังขับมุ่งหน้าเข้าไปที่ท่าเรือ และเมื่อไปถึงประตูเหล็ก สามารถมีกุญแจเปิดเข้าไปได้ โดยไม่ได้มีเจ้าหน้าที่มาคอยเปิดให้ ซึ่งมีภาพจากกล้องวงจรปิดแต่ภาพเอาไว้ชัดเจน จากนั้นเมื่อเอาของเข้าไปส่งใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที เจ้าตัวได้ขับกลับออกมาลักษณะไม่มีของพะรุงพะรัง เข้าใจว่ามีการไปส่งของเรียบร้อยแล้ว ขับกลับออกมาด้วยท่าทีปกติ


ด้าน นางสาวณิชา (นามสมมติ) ชาวบ้านในพื้นที่ ในฐานะแม่ค้าบริเวณทางเข้า-ออกท่าเรือตำรวจน้ำ และยังเป็นหญิงที่ปรากฏภาพใส่เสื้อเขียวเข้าออกในภาพกล้องวงจรปิด เปิดใจกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า ตนเองยืนยันว่าผู้หญิงที่ขี่รถเข้า-ออกในวันที่ 10 มิ.ย. คือตนเอง ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเป็นนายหน้าและคนขับวิน และเป็นคนจัดหา ซึ่งคนบนเรือจะมีการประสานความต้องการ เช่น ข้าวสารอาหารแห้ง หรือแม้แต่สิ่งของที่ต้องการ โดยจะให้ตนเองเป็นตัวแทนไปซื้อและเอาไปส่งที่เรือ


โดยในวันนั้น ยอมรับว่า ตนเองได้มีการขับรถมอเตอร์ไซค์เอาสิ่งของไปส่ง ได้รับเงินค่าจ้าง 450 บาท เอาไข่ไก่ 1 แผง 30ใบ , แกงถุงใหญ่ 3 ถุง , และนมกล่อง 6 กล่อง สำหรับเอาไปเลี้ยงหมาบนเรือ ด้วยตนเองได้รับการติดต่อมาได้มีการจัดซื้อและเอาไปส่งที่เรือ จนมีภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพเอาไว้ได้ และสิ่งที่ตัวเองเอาเข้าไปส่งเป็นเพียงแค่สิ่งของบางส่วน ซึ่งไม่ได้เรียกว่าเป็นเสบียงถึงขั้นจะส่งขึ้นเรือจำนวนมากเพื่อที่จะใช้ในการลอยลำอยู่ในทะเลได้ และในวันนั้นก็ยืนยันว่าหลังส่งเสบียงดังกล่าวเสร็จ ก็ไม่ได้มีอะไรผิดสังเกตว่าเรือจะหาย




สำหรับในภาพกล้องวงจรปิดจับภาพ เห็นว่าตนเองสามารถเปิดประตูรั้วของตำรวจเข้าไปได้โดยไม่ต้องมีการไขกุญแจ หรืออาจถูกสังคมจับตามอง ว่าตนเองมีกุญแจสำรองหรือไม่นั้น ยืนยันว่า ตนเองขับรถเข้าไปส่ง และมีการปลดเอาโซ่กุญแจที่คล้องอยู่ออก ส่วนแม่กุญแจไม่ได้มีการล็อก เพราะเจ้าหน้าที่รู้กันว่าเป็นช่วงเวลาที่มีการส่งของจะมีการคล้องกุญแจเอาไว้ ซึ่งตนเองก็สามารถเข้าออกได้ โดยเข้าไปส่งของเท่านั้น


อีกทั้งในภาพจากกล้องวงจรปิดยังปรากฏ เห็นตนเองกำลังตั้งร้านขายร้านขายของอยู่บริเวณทางเข้า-ออกของท่าเรือ แล้วพบว่า เป็นช่วงเวลาที่มีรถกระบะสีดำบรรทุกกล่องสี่เหลี่ยมอยู่ด้านหลัง มีการขับเข้า-ออกผ่านหน้าตัวเองนั้น ยืนยันว่าตนเองไม่ทราบว่ารถคันดังกล่าวเป็นรถส่งอะไร และไม่รู้ว่าส่งน้ำหรือขนน้ำมัน เพราะตนเองไม่ได้สังเกต


นอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้คุยกับ นายน้ำเงิน (นามสมมติ) ลูกเรือบนเรือสีดำ เรือของกลางที่ยังจอดอยู่ ไม่ได้หายไปพร้อม 3 ลำ ที่มีน้ำมันเถื่อน เปิดใจว่า สำหรับในคืนก่อนวันเกิดเหตุนั้น มีการลากเรือ 4 ลำ ใน 5 ลำ ออกไปลอยลำอยู่ที่ทะเลเพราะป้องกันเรือกระแทกกับท่าเรือแล้วเสียหาย ซึ่งมีเรือ 3 ลำ ลำที่มีน้ำมันเถื่อนถูกลากลากออกไปฝั่งซ้ายของท่าเรือ ส่วนใหญ่เรือลำสีดำของตนเองถูกลากไปอยู่ฝั่งขวา แต่ส่วนเรือลำสีส้มไม่ได้มีการลากออกไป เพราะอยู่จุดปลอดภัยไม่ได้มีการกระแทกท่าเรือ




โดยเรือลำสีดำของตนเองนั้น เดิมทีอยู่กัน 2 คน ซึ่งไม่มีเรือ และเรือก็ไม่สามารถที่จะขับออกไปได้เพราะไม่มีคนขับ ที่สำคัญเป็นเรือที่ไม่มีน้ำมันของกลางเป็นเรือเปล่า ซึ่งในคืนวันที่ 9 ก่อนที่จะถูกลากลากออกไปประจำแต่ละจุด เพื่อหลบคลื่น มีลูกเรือบนเรือหนึ่งใน 3 ที่หายไป ได้ลงมาจากเรือและมาขออาศัยอยู่กับเรือลำสี เพราะเนื่องจากเป็นเรือที่มีแอร์ โดยลูกเรือคนดังกล่าวตัดสินใจลงจากเรือก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่า จะมีการเอาเรือออกทะเล ซึ่งก็เข้าใจว่าเจ้าตัวตัดสินใจลงจากเรือโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ


และสำหรับคนที่อยู่บนเรือไม่มีใครได้รับสัญญาณว่าเรือจะมีการขับออกหรือไปที่ใด แต่คนที่รู้ดีที่สุดก็คือไต๋เรือทำหน้าที่เป็นคนขับควบคุมเรือ และในวันนั้นก็เชื่อว่าไต๋เรือน่าได้รับคำสั่งจากใครบางคนเพื่อพาเรือออก คนที่จะรู้สัญญาณ หรือการส่งซิกดีที่สุดก็คือไต๋เรือ แต่คนบนเรือจะไม่รู้ เพราะเชื่อว่าคนที่สั่งการจะต้องเป็นคนที่ติดต่อได้โดยตรงกับไต๋เรือเท่านั้น


ส่วนกรณีภาพจากกล้องวงจรปิด จับภาพรถกระบะสีดำ ซึ่งมีกล่องสี่เหลี่ยมอยู่บริเวณด้านหลังรถ มีการขับเข้าออกท่าเรือตำรวจน้ำ จนกระทั่งมีชาวบ้านให้เบาะแสว่ารถกระบะคันดังกล่าว มีกลิ่นคล้ายน้ำมัน และมีการขับออกวันละหลายเที่ยว จนกระทั่งถูกเผยแพร่และนำเสนอในสื่อหลายสำนัก นั้น




ล่าสุด ตำรวจสอบสวนกลาง ได้มีการตรวจสอบรถกระบะสีดำคันดังกล่าว ทราบทะเบียนรถคือ “จพ-3379 ชลบุรี” มีการขับเข้าเวลาประมาณ 17.05 น. โดยประมาณของวันที่ 10 มิ.ย. และใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก่อนขับออกมา จากการตรวจสอบ รถยนต์ทะเบียน จพ-3379 ชลบุรี ดังกล่าว พบว่า เป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดสถานีตำรวจน้ำ 3 กองกำกับการ 5 ซึ่งขับขี่รถยนต์เข้าไปยังท่าเรือสถานีตำรวจน้ำสัตหีบ เพื่อเติมน้ำเปล่า สำหรับใช้ในการอุปโภค เช่น การอาบน้ำ และกิจกรรมอื่น ๆ และ ตรวจสอบตารางภารกิจ พบว่า เรือ 633 มีภารกิจ อบรม ศรชล.ภาค1 ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง จ.ระยอง ในวันที่ 11-13 มิ.ย. 2567 จึงมีความจำเป็นต้องเติมน้ำ สำหรับใช้ในภารกิจบนเรือ เช่น การทำความสะอาด เป็นต้น




โดยทางด้านตำรวจสอบสวนกลาง ได้มีการเผยแพร่ภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งเป็นวงจรปิดในท่าเรือ จะเห็นรถกระบะสีดำที่มีกล่องสี่เหลี่ยมอยู่ด้านหลังไปจอดอยู่ข้างเรือ 633 ตามภารกิจของ ศรชล.ภาค1 ซึ่งมีภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกเอาไว้วันที่ 10 มิ.ย. เวลา 17.05 น. โดยจะเห็นว่ารถกระบะคันดังกล่าวจอดอยู่ที่ท่าเรือจริง และยังมีภาพจากกล้องวงจรปิดเคลื่อนไหว เห็นว่ารถกระบะสีดำไปจอดและกำลังมีการส่งน้ำขึ้นเรือ 633 เพื่อเป็นการยืนยันตามข้อเท็จจริง ว่าไม่ใช่ขบวนการขนน้ำมันเถื่อนขึ้นฝั่ง


หลังจากที่ตำรวจสอบสวนกลางมีคำชี้แจง เกี่ยวกับรถกระบะสีดำที่มีการบรรทุกกล่องสี่เหลี่ยมเข้าไปภายในท่าเรือ โดยมีการชี้แจงว่านำน้ำดิบซึ่งเป็นน้ำจืดไปส่งขึ้นเรือ และจากภาพกล้องวงจรปิดจับภาพ กล่องสี่เหลี่ยมท้ายกระบะสีดำมีหมายเลข 815 ติดอยู่ ซึ่งทีมข่าวได้มีการบินโดรนสำรวจภาพมุมสูง ปรากฏว่าหมายเลขข้างกล่องสี่เหลี่ยมไปตรงกับ หมายเลขเรือลำหนึ่งของ เรือศรชล ซึ่งเป็นหมายเลขเดียวกัน




แล้วนอกจากนี้ ทีมข่าวยังทราบข้อมูลจากชาวบ้านในพื้นที่ มาให้เบาะแสกับทีมข่าวช่อง 8 โดยระบุว่า ท่าเทียบเรือของตำรวจน้ำ การเชื่อมต่อน้ำดิบซึ่งเป็นน้ำจืดเข้าไปที่ท่าเรือ สำหรับต่อขึ้นเรือได้โดยไม่ต้องมีการขนน้ำมันขึ้นลง ทีมข่าวจึงไปสำรวจที่สะพานทางเชื่อมท่าเรือตำรวจน้ำ ปรากฏว่ามีท่อพีวีซีขนาดใหญ่ ซึ่งตรงตามข้อมูลชาวบ้านที่ให้เบาะแสกับทีมข่าวช่อง 8 โดยมีการเชื่อมจากมิเตอร์น้ำเข้าไปที่ท่าเรือ โดยเป็นการต่อท่อเรียบกับแนวปูนของขอบท่าเรือตำรวจ ซึ่งก็ตรงตามที่ชาวบ้านชี้เบาะแสให้กับทีมข่าว และยืนยันว่าท่อดังกล่าวเป็นท่อใหม่แล้วยังใช้งานได้ จึงค่อนข้างขัดแย้งกับสิ่งที่มีการชี้แจงออกมาว่าเป็นรถขนน้ำดิบเข้าไป โดยสามารถที่จะต่อตรงได้จากท่อพีวีซีไม่ต้องมีการขนเข้าไปก็ได้




และจากกรณีคำชี้แจงของตำรวจสอบสวนกลาง ที่ให้ข้อมูลกับทีมข่าวพร้อมกับมีภาพจากกล้องวงจรปิดเผยแพร่ออกมา ว่า รถกระบะสีดำไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการขนน้ำมันเถื่อน แต่เป็นการดำน้ำดิบไปส่งที่เรือ นั้น วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 มีการสำรวจเพื่อหาถังน้ำดิบตามที่มีคำชี้แจงออกมา โดยได้ขับรถเข้าไปบริเวณหลังสำนักงานตำรวจน้ำ พบว่าตรงด้านหลัง เป็นแฟลตตำรวจ ซึ่งแฟลตหลังสุดท้ายด้านในสุดใกล้กับโรงจอดรถ มีถังสี่เหลี่ยม ลักษณะขนาดขนาดใกล้เคียงกับที่อยู่ท้ายกระบะรถสีดำ




โดยถังมีทั้งแบบเป็นเหล็กอะลูมิเนียมและพลาสติก ซึ่งวางเรียงกันเอาไว้ บริเวณหลังแฟลตตำรวจ และใกล้กับโรงจอดรถ โดยบางถังมีของเหลวลักษณะคล้ายน้ำมันบรรจุอยู่ และจากการสำรวจของทีมข่าวได้กลิ่นน้ำมันจริง อีกทั้ง มีถังบางใบมีผ้าใบคลุมเอาไว้ และผ้าใบก็มีความคล้ายกับสีเดียวกันกับที่คลุมอยู่ท้ายกระบะ




ระหว่างที่ทีมข่าวลงพื้นที่ไปสำรวจนั้น ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่ง เดินออกมาจากแฟลตตำรวจ และมาพูดคุยกับทีมข่าว โดยทีมข่าวได้มีการสอบถามเกี่ยวกับถังที่พบใกล้กับแฟลตตำรวจว่าเป็นอะไร โดยตำรวจนายดังกล่าว เผยว่า เป็นถังเก็บน้ำมันจริง แต่เป็นน้ำมันที่ใช้งานไม่ได้ เป็นถังสำหรับพัก เพราะเนื่องจากน้ำมันบนเรือมีน้ำเจือสมอยู่ ทำให้ไม่สามารถใช้กับเครื่องยนต์ได้ จึงมีการสูบออกมาเพื่อที่จะนำมาพัก ให้น้ำที่ผสมอยู่ระเหยหรือแยกตัวออก จึงจะนำไปเติมเรือกลับไปใช้งานใหม่ และถังดังกล่าวก็เป็นถังที่เลือกใช้งานมานานแล้ว ซึ่งไม่ได้มีการใช้งาน และไม่ใช่ถังที่อยู่บนท้ายกระบะอย่างแน่นอน


ส่วนลักษณะคล้ายอะลูมิเนียม ที่พบบริเวณด้านหลังแฟลตวางไว้ใกล้กับถังที่มีที่มีคล้ายน้ำมันบรรจุอยู่ ยืนยันว่า ไม่ใช่ถังสำหรับบรรจุน้ำมันและสำหรับใส่น้ำดิบ แต่เป็นถังควบคุมความเย็น ซึ่งไม่ใช้ถังสำหรับใส่ของเหลว ขณะที่น้ำมันที่ใช้งานได้และใช้สำหรับเติมเรือ จะอยู่บริเวณด้านข้างสำนักงานซึ่งเป็นถังขนาดขนาดใหญ่ โดยทุกครั้งที่มีการเติมขึ้นไปบนเรือจะมีการ นำทางมาเติมน้ำมันจากจุดดังกล่าวแล้วนำไปเติมที่บนเรือ เพราะก่อนหน้านี้จะมีระบบวาล์วที่ส่งตรงไปที่ท่าเรือ แต่ปัจจุบันระบบเสียจึงต้องมีการบรรทุกเข้าไปที่ท่าเรือแทน ดังนั้น ถ้าหากมีการบรรทุกน้ำมันหรือสิ่งของเข้าไปภายในท่าเรือ ขาเข้าจะมีลักษณะหนักและหน้าเหิน แต่ขาออกจะต้องเบาเพราะเนื่องจากเอาน้ำมันไปเติมแล้ว ฉะนั้นจึงเป็นไปได้ที่ขาเข้าเบา ขาออกหนัก




ขณะที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว หรือ บิ๊กเต่า รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง บอกว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้มีหลายหน่วยเข้าร่วมการประชุม และไปตรวจความคืบหน้าในการมอบหมายงานติดตามเรือที่หายไป ให้ผู้บังคับการตำรวจน้ำตั้งกองอำนวยการร่วมกับทุกหน่วยเพื่อตามหาเรือ ส่วนเรื่องการสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่บกพร่องทำให้ราชการเสียหาย ซึ่งต้องดำเนินคดีในความผิดมาตรา 157 ตอนนี้ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ (ปปป.) ตั้งคณะกรรมการสืบสวน คู่ขนานกับตำรวจน้ำ เพื่อดำเนินการให้แล้วเสร็จเร็วเร็วที่สุด ส่วนกองบังคับการปราบปรามที่เข้าไปดำเนินการกับลูกเรือ 3 ลำที่หลบหนีไป ตอนนี้ยืนยันมีคนลงเรือ 16 คน ได้ชื่อมาแล้ว 14 คน อีก 2 คน ได้ชื่อแล้วแต่ยังไม่ได้รูปหน้า ตอนนี้ชุดกองปราบกำลังไปลงพื้นที่


โดย บิ๊กเต่า บอกว่า เรือทั้ง 5 ลำ มีลูกเรือทั้งหมด 28 คน เรือ 3 ลำที่หายไปมีลูกเรือยืนยัน 17 คน มีรายงานว่าลงเรือไปเพียง 16 คน อีก 1 คน ไม่ได้ไปด้วย จากรายงานคนที่ไม่ได้ไปด้วยคือคนไทย แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด ข้อมูลที่ให้ไว้กับตำรวต ส่วนที่เหลืออยู่ในเรืออีก 2 ลำที่จอดเทียบท่าอยู่ ซึ่งเป็นเรือที่ไม่มีน้ำมัน โดยวันจันทร์ ปอศ. จะเรียกลูกเรือทั้งหมดที่ไม่ได้หลบนี้มาสอบปากคำที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ บก.ปอศ. และคาดว่า จะขอศาลอนุมัติออกหมายจับลูกเรือที่หลบหนี 16 คน ได้ภายในวันอังคาร


ส่วนข้อมูลที่ว่า เรือที่หายไปนั้น อยู่ที่เกาะกูด จ.ตราด แล้วข้ามไปประเทศเพื่อนบ้าน บิ๊กเต่า ระบุว่า ยังไม่ได้มีการยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จากข้อมูลที่ได้คุยกับตำรวจน้ำชุดทำงานเมื่อวานนี้ มีการยืนยันว่าเรือน่าจะเข้าไปประเทศกัมพูชาแล้ว แต่อยู่จุดไหนเป็นเรื่องที่ตำรวจต้องติดตามต่อ ขณะนี้ได้ประสานทางกัมพูชาให้ช่วยติดตามเรือทั้ง 3 ลำแล้ว ยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจและพยายามติดตามเรือของกลางกลับมาให้ได้ แม้ตอนนี้จะไปประเทศเพื่อนบ้านแล้ว


ส่วนเรื่องเส้นทางก่อนที่เรือทั้ง 3 ลำจะขับหลบหนีไปสู่ประเทศกัมพูชา บิ๊กเต่า บอกว่า เส้นทางที่ใกล้ที่สุดหลังจากที่เรือออกจากท่าเรือสัตหีบ จะต้องมุ่งหน้าไปที่เกาะช้าง เกาะกูด ออกประเทศเพื่อนบ้าน รวมระยะทาง 240 กิโลเมตร ซึ่งอาจจะใช้เวลาอย่างเร็ว 12 ถึง 13 ชั่วโมง โดยขณะนี้ในการติดตามค้นหาเรือได้มีการประสานใช้ดาวเทียมมาช่วย รวมทั้งใช้เครื่องบินในการลาดตระเวนค้นหา เมื่อนักข่าวถามว่า กังวลหรือไม่ ว่าหากยังไม่สามารถค้นหาเรือ 3 ลำเจอ เรือทั้งสามลำจะมีโอกาสหลบหนีไปยังประเทศที่สามหรือไม่ บิ๊กเต่า บอกว่า ในทางเทคนิค ยังเห็นสัญญาณบางอย่างที่ยังอยู่ในประเทศไทย และมีการเอ็กซเรย์พื้นที่




ด้าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของคณะกรรมการของกองบัญชาการตำรวจสอบส่วนกลาง และยังไม่ได้มีการฟันธงว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่ ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเรือมีขนาดใหญ่ หากไม่ได้รับการเปิดทางจากเจ้าหน้าที่ ก็เป็นเรื่องยากที่เรือจะหายไป พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการเร่งรัดอยู่


เมื่อถามว่า เรื่องนี้ค่อนข้างกระทบความเชื่อมั่นวงการตำรวจ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ตนก็รับไม่ได้เช่นเดียวกัน คนที่รับผิดชอบดูแลหน่วยงานต้องเป็นผู้รับผิดชอบ และขณะนี้ผู้บัญชาการตำรวจกรมสอบสวนกลางกำลังดำเนินการจริงจัง หากใครเกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย หรือมีส่วนใด ๆ ที่ร่วมกระทำผิด ก็ต้องดำเนินการทางวินัยและอาญา แต่ขอให้รอความชัดเจน


เมื่อถามว่า เสี่ยโจ้ ที่มีรายงานว่าเป็นเจ้าของเรือ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เรือขนน้ำมันเถื่อนหายนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ขอให้รอผลการสอบสวนของพนักงานสอบสวนก่อน



ขณะที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว หรือ บิ๊กเต่า รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เผยถึงประเด็นเรือหายจะเชื่อมโยงถึงเสี่ยโจ้หรือไม่นั้น ว่า ขอเวลาประมาณสัปดาห์หน้าจะมีความคืบหน้า คือจะมีความคืบหน้าในกรณีที่ลูกเรือนำเรือออกไป และความคืบหน้าการจับกุมน้ำมันเถื่อน


ส่วนเรื่องที่มีกระแสเสี่ยว่าเสี่ยโจ้หลบหนีออกไปนอกประเทศแล้ว บิ๊กเต่า บอกว่า จากข้อมูลทางการสืบสวน พบว่าตอนนี้เสี่ยโจ้พำนักอยู่ที่ประเทศกัมพูชา ส่วนการที่เรือหายจะเกี่ยวข้องกับเสี่ยโจ้หรือไม่นั้น บิ๊กเต่า บอกว่า “ใครเป็นเจ้าของหรือทำธุรกิจตรงนี้ ก็ไม่มีคนอื่นที่จะดำเนินการ”

 

เปิดนาทีเรือของกลาง 3 ลำ ลอยหายกลางทะเล ลากไส้ขบวนการเสกเรือล่องหน