คืบหน้ากรณี เรือน้ำมันของกลาง 5 ลำ มีการตรวจยึดบริเวณทะเลฝั่งชลบุรี และปรากฏว่าวันที่ 8-9 มิ.ย. ที่ผ่านมามีคลื่นลมลมแรง จนเป็นเหตุทำให้ต้องนำเรือของกลางขยับห่างจากท่าเทียบเรือ เพราะป้องกันเรือเสียหาย โดยมีการขยับเรือ 3 ลำ มีน้ำมันเถื่อนบรรจุอยู่ในเรือ และหลังจากที่ขยับเรือออกวันที่ 9 มิ.ย. ปรากฏว่าวันที่ 11 มิ.ย. ช่วงกลางคืน เรือหายไป ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว นั้น

 

ล่าสุด วันที่ 17 มิ.ย.67 เวลา 19.35 น. เรือของกลางทั้ง 3 ลำ ค่อยๆ ทยอยเข้าจอดเทียบท่าเรือกองกำกับการ 7 ตำรวจน้ำ จังหวัดสงขลา หลังจากถูกจับได้ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะมาเลเซีย โดยเรือลำแรกที่เข้าเทียบท่าเรือ คือ "เรือกำไรเงิน" หรือ ซีฮอร์ส ขนาดความยาวประมาณ 65 ฟุต ซึ่งเรือลำนี้พบว่ามีความพยายามดัดแปลงด้วยการทาสี แต่ยังทาไม่เสร็จทั้งลำเนื่องจากว่า รีบหลบหนีตำรวจ โดยจากการตรวจสอบเรือลำแรกพบว่า มีการใช้สีเทาทาปรับสีพื้นเดิมที่เป็นสีแดงก่อนจะใช้สีเขียวทาทับ ที่พื้นเรือ และเก๋งเรือ โดยเรือลำนี้มีผู้ต้องหาทั้งหมด 3 คน แล้วจากการตรวจสอบบนเรือ ก็พบว่ามีสุนัขอีก 2 ตัวด้วย

 

สำหรับเรือลำที่ 2 ที่เข้าเทียบท่าคือเรือ "เจ พี" ขนาดความยาวประมาณ 65 ฟุต มีผู้ต้องหา 4 คน และมี สุนัข 1 ตัว นั่งอยู่บนเรือ โดยมีกำลังตำรวจมัจฉานุควบคุมตัวไว้อย่างเข้มงวด หลังจากนั้นเรือลำที่ 3 "เรือดาวรุ่ง" ขนาดประมาณ 50 ฟุต เข้าจอดเทียบท่า เป็นลำสุดท้าย ซึ่งเรือลำนี้เครื่องยนต์เสียจึงต้องใช้เรืออีกลำลากเข้าจอดเทียบท่า โดยมีผู้ต้องหา 1 คน

 

โดยพลตำรวจตรี พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ เปิดเผยกับสื่อมวลชน หลังจากที่เรือทั้ง 3 ลำ เทียบท่าเสร็จเรียบร้อยแล้วโดยระบุว่า

 

“เรือกำไรเงิน ที่พบว่า มีความพยายาม ดัดแปลงเห็นได้ชัดเจนมากที่สุด เนื่องจากยังทาสีไม่เสร็จทั้งลำ เชื่อว่าต้องการเร่งทำเพื่อให้นำกลับมาใช้งานได้ และหากกลุ่มผู้ต้องหาดัดแปลงทาสีเรือทั้งลำได้สำเร็จ ก็เชื่อว่า จะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงจนทำให้ตำรวจอาจตามไม่เจอ ซึ่งหลังจากนี้จะให้เพียงตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน และชุดสืบสวนของกองบังคับการปราบปราม พนักงานสอบสวน ขึ้นไปตรวจสอบบนเรือเท่านั้น เนื่องจากต้องมีการตรวจพิสูจน์เรื่องของดีเอ็นเอที่อยู่บนเรือ ก่อนจะให้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปสอบปากคำ”

พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยหลังจากตำรวจมีการขึ้นไปตรวจสอบบนเรือ ของกลาง 3 ลำ เบื้องต้น พบว่าบนเรือแต่ละลำ เหลือน้ำมันเล็กน้อยซึ่งเพียงพอสำหรับแค่การขับเคลื่อนเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถยืนยันเป็นจำนวนมากตัวเลขที่ชัดเจนได้ว่าเหลืออยู่เท่าไหร่ โดยขนาดความลึกของถังอยู่ที่ 3.8 เมตรแต่เหลือเพียง 1 เมตร ขอเวลาให้ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบให้ชัดเจน โดยเรือทั้ง 3 ลำ มีมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ส่วนตัวเชื่อว่า น้ำมันของกลางที่อยู่บนเรือไม่ใช่เป้าหมายสำคัญของกลุ่มผู้ต้องหา เพราะสามารถขายได้เพียงลิตรละ 10 บาท มูลค่ารวม 4 -5 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนน้ำมันที่สูญหายไป ก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินคดี ในข้อหาลักทรัพย์ และเรือทั้ง 3 ลำก็ยังต้องถูกอายัดเป็นของกลาง ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีผู้เสียหาย มาแสดงตัวยืนยันเป็นเจ้าของ เรือ ศาลจึงออกหมายจับ ในเรื่องของการลักทรัพย์ซึ่งเป็นของกลาง เท่านั้น ซึ่งก็แน่ชัดว่า เหตุการณ์นี้ต้องมีเจ้าหน้าที่ที่บกพร่องต่อหน้าที่ ขณะนี้สั่งการว่าต้องมีความชัดเจนในเรื่องของการสอบสวน ภายใน 7 วัน ซึ่งต้องมาดูว่าการบกพร่องต่อหน้าที่นั้น ทำให้เกิดความเสียหายมากน้อยเพียงใด ก่อนเอาผิดตามมาตรา 157 ยืนยันว่าไม่มีละเว้น ดำเนินการขั้นเด็ดขาด

 

ส่วนผู้ต้องหาทั้ง 8 คน จะถูกดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ รวมถึงอีก 7 คนที่หลบหนี อยู่ระหว่างการติดตามตัว ซึ่งอยากฝากถึงผู้ต้องหา ที่ยังหลบหนี ว่าอยากให้เข้ามอบตัว และให้การกับตำรวจ เพื่อเป็นประโยชน์ ต่อการทำคดี ซึ่งเจ้าของเรือถือเป็นคนสำคัญ ส่วนผู้ต้องหา 28 คนในคดีที่ถูกจับก่อนหน้านี้ ก็จะต้องส่งฟ้องไป ตามกระบวนการทางกับกฎหมาย พร้อมทั้งเตรียม เพิกถอนการประกันตัว

 

โดยเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ถูกจับทั้งหมดนี้ เป็นเพียงลูกจ้าง ส่วนตัวการจะสั่งงานผ่านทางโทรศัพท์ ในการซื้อขายน้ำมันเถื่อนเท่านั้น ส่วนใหญ่ที่ขึ้นเรือไปเป็นลูกจ้างก็จะกินนอนอยู่บนเรือโดยมีสุนัขเฝ้าเรืออยู่ด้วย และไม่ได้ติดต่อกับทางครอบครัว ส่วนพยานหลักฐานที่จะเชื่อมโยงถึงเจ้าของเรือหรือผู้สั่งการ จะมีการตรวจสอบทางอิเล็กทรอนิกส์ อีกครั้ง ในครั้งนี้อาจจะมีส่วนให้เป็นการเพิ่มโทษกับตัวนายโจ้ ปัตตานี ในส่วนคดีแรกที่ถูกจับก่อนหน้านี้ ซึ่งยอมรับว่าตัวนายโจ้เองไม่ธรรมดา ใช้เงินเป็นอาวุธ ตามจับมานานแล้วแต่ก็ หลุดรอดไปได้ ทุกครั้ง

ด่วน! ยึดเรือน้ำมันเถื่อนกลับคืนไทย ถูกดัดแปลงทาสีตบตาตำรวจ