คืบหน้ากรณีการเสียชีวิตของชายและหญิงอยู่ภายในรถเก๋ง ซึ่งจอดอยู่ปากซอยพัฒนาการ 12 โดยที่เกิดเหตุพบรถเก๋งสีขาวยี่ห้อมาสด้า พบร่างของนางสาวนุ่น หรือนางสาววิลัยพร ซึ่งเป็นแดนเซอร์ของร้านอาหารใกล้จุดเกิดเหตุ นั่งอยู่เบาะคนขับ ขณะที่ร่างของฝ่ายชายนั่งอยู่ฝั่งคนโดยสาร ทราบชื่อคือนายเท่ หรือนายวิโรจน์ นั้น

 

วันนี้ (19 มิ.ย.) ทีมข่าวช่องแปด ติดตามความคืบหน้า โดยได้รับภาพจากกล้องวงจรปิดสุดท้าย ซึ่งเห็นคนตาย คือ นายเท่ หรือนายวิโรจน์ ฝ่ายชาย เดินออกจากร้านที่ทำงานอยู่ หลังจากที่ร้านปิด ตั้งแต่เวลาตี2 ซึ่งพนักงานในร้านเคลียร์ทำความสะอาดและเก็บของจนกระทั่งเสร็จ และเจ้าตัวเดินออกจากร้านหลังเวลาตี 3 เศษๆ

 

จากนั้น ภาพกล้องวงจรปิดจับภาพเห็น นางสาวนุ่น หรือนางสาววิลัยพร วันทนา เดินออกมาพร้อมกับเพื่อนซึ่งเป็นแดนเซอร์ด้วยกัน เพื่อไปส่งขึ้นแท็กซี่ และหลังจาก นางสาวนุ่นจะเดินไปเจอกับนายเท่ที่ยืนรออยู่บริเวณลานจอด แต่จุดดังกล่าวไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิดจากภาพต่อว่าขึ้นไปบนรถตอนไหน ซึ่งเห็นเพียงแค่เจ้าตัวเดินพากันออกจากร้านหลัง เคลียร์ของภายในร้านเสร็จ

 

ด้าน นายพูน พ่อของฝ่ายหญิงคนตาย เผยว่า วันนี้ตนเองตั้งใจเดินทางมารับร่างของลูกสาวกลับไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้านของแม่ของลูกในจังหวัดตาก และสำหรับสาเหตุการตายนั้น ตนเองก็คงไม่ติดใจอะไรแล้วเพราะเบื้องต้นทราบจากพนักงานสอบ ว่าเป็นการนอนหลับอยู่ในรถและน้ำมันหมดจนกระทั่งเครื่องยนต์ดับและทั้งคู่เสียชีวิต แต่ส่วนรายละเอียดอื่นก็ต้องรอผลชันสูตรอย่างละเอียด เชื่อว่าคงไม่ใช่การตั้งใจฆ่าตัวตายของลูกสาว และไม่ได้ถูกทำร้ายเพราะเนื่องจากในรถทุกอย่างปกติ ดังนั้นจึงเชื่อว่าเป็นเหตุอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น จากการหลับในรถและเครื่องยนต์ดับ ทั้งนี้ตนเองอยากจะฝากเรื่องราวของลูกสาวเป็นอุทาหรณ์ เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับใครอีก และเป็นไปได้ ก็ไม่อยากให้ใครต้องมานอนหลับในรถแบบนี้จนต้องเป็นเหตุซ้ำ

 

ส่วนพฤติกรรมของลูกสาวโดยปกติแล้วเวลาเลิกงานเจ้าตัวก็จะขับรถกลับบ้าน เว้นแต่ว่าเวลาที่ดื่มหรือเมาหนัก ตนเองก็จะไม่ให้ขับรถ เพราะอันตรายประกอบกับกลัวถูกจับเมาแล้วขับ อาจจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าในคืนนั้นลูกสาวอาจจะเมาหรือมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงได้มีการสตาร์ทเครื่องนอนรอก่อนขับรถกลับบ้านแต่เกิดเหตุขึ้นเสียก่อน

 

และสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวกับตัวของนายเทพหรือนายวิโรจน์คนตาย ที่นอนอยู่เบาะข้าง ส่วนตัวไม่ทราบว่าทั้งคู่คบหากันตอนไหน แต่ทราบจากเพื่อนทราบว่ามีการพูดคุยและคบหากันพักหนึ่งแล้ว แต่เพียงลูกสาวยังมาเล่าหรือพามาแนะนำให้รู้จักเท่านั้น จึงเชื่อว่าน่าจะเพิ่งคบหาและคุยกัน ตอนมาทำงานที่ร้านอาหารด้วยกัน

 

และวันเดียวกันนี้ทีมข่าวจึงได้คุยกับ นายสุพัด อายุ 60 ปี อาคนตายฝ่ายชาย ซึ่งเจ้าตัวก็ได้เดินทางมาติดต่อเพื่อรับศพของหลานชาย ก่อนจะพาเดินทางกลับบ้านในจังหวัดนครราชสีมา เพื่อกลับไปตั้งบำเพ็ญกุศลศพที่บ้านเกิด

 

นายสุพัด เผยว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ทางครอบครัวก็เชื่อว่าเป็นเรื่องของอุบัติเหตุที่เครื่องยนต์ดับ แต่ก็ไม่คิดว่าหลานชายจะจากไปเร็วขนาดนี้ เพราะตนเองตั้งใจที่จะพาหลานชายมาทำงานและมีหน้าที่การงานที่ดี หลานชายเป็นคนหน้าตาดีจึงชักชวนให้มาทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟก่อนที่จะปั้นให้เป็นนักร้องของร้านอาหาร สุดท้ายแล้วความฝันก็ดับ เพราะเรื่องไม่คาดคิดแบบนี้ แต่ส่วนเรื่องของความสัมพันธ์ที่คบหากับฝ่ายหญิงตัวเองเข้าใจว่าเด็กน่าจะเริ่มเพิ่งพูดคุยกัน แต่ตนเองก็ยังไม่ทราบรายละเอียด เพราะหลานชายเพิ่งมาทำงานอยู่ที่ร้านอาหารได้เพียง3เดือน

 

และในคืนนั้นหลังจากที่หลานชายขาดการติดต่อ ตนเองก็พยามโทรและทักข้อความไปหา ซึ่งหลานชาย กดอ่านแต่ไม่มีการตอบกลับช่วงเวลาประมาณ 05.12 น. โดยตนเองทักข้อความไประบุว่า “เงียบเด้อ” , และจากนั้นเห็นว่าหลานชายอ่านแต่ไม่ตอบ จึงได้มีการส่งข้อความกลับไปอีกว่า “เท่ห์ ลืมห้องแล้วนิ” ตั้งใจที่จะบอกหลานชายว่าทำไมห้องไม่ยอมกลับ ลืมห้องตัวเองแล้วหรือ แต่ไม่มีการอ่านข้อความและตอบกลับอีก ซึ่งเป็นช่วงเวลาประมาณ 16:10 น. ก่อนที่ตนเองจะมารู้ความจริงช่วงเวลาประมาณ1ทุ่มเศษ ว่าหลานชายนอนเสียชีวิตอยู่ในรถ

 

ด้าน นายณัฐ อายุ 28 ปี พี่ชายของคนตาย (ฝ่ายหญิง) ในฐานะคนที่ไปเจอศพคนแรก และออกตามหาตลอดทั้งวันก่อนที่จะไปพบศพในรถ เผยพร้อมน้ำตาว่า ตนเองคือคนที่ไปเจอศพน้องสาวนอนเสียชีวิตอยู่ในรถ และยังเป็นคนที่ตัดสินใจใช้เงินส่วนตัวในบัญชีจำนวน 30,000 บาท ไปปิดยอดงวดรถให้กับน้องสาว ซึ่งเป็นรถของพ่อ แต่ตั้งใจปิดงวดรถแล้วให้น้องใช้งาน เพื่อที่จะขับไปทำงานโดยไม่ต้องลำบากขึ้นแท็กซี่ แต่ก็ไม่คิดว่ารถคันที่ตัวเองตั้งใจให้น้องสาวนั้น จะกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ฆ่าน้องสาวตาย เพราะก่อนหน้านี้ตนเองเคยเตือนน้องสาวตลอดว่า เติมน้ำมันควรให้เต็ม และที่สำคัญไม่ควรนอนในรถ เพราะเคยมีข่าวมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่คิดว่าสุดท้ายแล้วน้องสาวจะเข้าไปนอนในรถแล้วเกิดเหตุแบบนี้ขึ้น ส่วนตัวจึงรู้สึกเสียใจมาก ที่เป็นต้นเหตุที่ยกรถคันที่น้องสาวตายให้เจ้าตัวไปใช้ และกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้น้องสาวต้องตาย

 

โดยในวันเกิดเหตุเมื่อวานนี้ ช่วงเช้าตนเองกลับมาถึงห้องหลังเลิกงาน พ่อบอกกับตนเองว่าน้องสาวยังไม่กลับบ้าน ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 07:00 น. ของวันที่ 18 มิ.ย. ตนเองจึงได้รีบอาบน้ำและขับรถไปที่ร้านอาหารที่น้องสาวทำงานอยู่ โดยทันทันทีที่เดินทางไปถึงเห็นว่ารถของน้องสาวจอดอยู่ที่ลานจอด ตนเองเอารถไปจอดด้านหลังรถ แต่ไม่เจอตัวน้องสาว และไม่เจอความผิดปกติ จึงได้เดินเข้าไปที่ในร้านอาหารเพื่อติดต่อ และสอบถามกับเพื่อนร่วมงาน แต่ทุกคนไม่มีใครพบเห็นเบาะแส มีแต่บอกว่าเลิกงานเก็บร้านเสร็จเดินออกร้านช่วงเวลาประมาณตี 4 จึงพยามขอดูกล้องวงจรปิดจากทางร้าน แต่เข้าใจว่าเป็นช่วงที่ร้านยังไม่เปิดและยังไม่มีใครมาทำงาน จึงดูไม่ได้ ตนเองจึงเดินทางกลับไปบ้านและไปตามหาที่อื่น คิดว่าน้องสาวน่าจะติดรถคนอื่นไปห้องเพื่อน

 

จนกระทั่งช่วงก่อน 19:00 น. ตัวเองตัดสินใจตัดสินใจกลับมาอีกครั้ง คิดว่าน้องสาวน่าจะมาทำงานแล้ว เพราะยังติดต่อไม่ได้ แต่ที่ร้านก็ยังไม่มีใครเจอเบาะแสของน้องสาว ตนเองจึงได้ตัดสินใจเดินไปดูที่รถ ซึ่งตอนนั้นสังเกตเห็นแสงไฟที่หน้าปัดปรากฏอยู่ แต่รถไม่สตาร์ทเครื่อง และไม่มีไฟในห้องโดยสารโดย ตนเองจึงเดินเข้าไปดูก็พบว่าน้องสาว นอนอยู่ในรถสภาพแน่นิ่ง เคาะกระจกก็ไม่ตื่น และเห็นผู้ชายนอนอยู่ข้างๆ จึงได้มีการแจ้งเจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้ามาตรวจสอบ จนกระทั่งพบว่าน้องสาวเสียชีวิตอยู่ในรถแล้ว

 

และการเสียชีวิตครั้งนี้ ตนเองเชื่อว่าก็น่าจะเกิดจากการสตาร์ทเครื่องจนน้ำมันหมด แล้วพากันเผลอหลับจนกระทั่งเสียชีวิตคารถ เพราะในรถไม่มีอุปกรณ์ที่ทั้งคู่ใช้ฆ่าตัวตายและ ร่องรอยของการต่อสู้ รวมทั้งรวมทั้งน้องสาวเป็นคนที่ไม่เคยมีพฤติกรรมหรือแนวคิดที่จะฆ่าตัวตาย จึงเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากอุบัติเหตุ ด้วยเครื่องมือที่ตนเองเป็นคนส่งต่อให้คือรถ

 

สำหรับในวันนี้ทางครอบครัวจะมีการเปลี่ยนจากเดิมที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพของน้องสาวในกรุงเทพ ญาติของแม่ได้ติดต่อขอให้นำกลับบ้านที่จังหวัดตาก ส่วนตัวอยากจะประชาสัมพันธ์ถึงเพื่อนร่วมงานทั้ง งานกลางวัน และรวมถึงงานที่ร้านอาหาร หากจะเดินทางหรือร่วมทำบุญ ให้ติดต่อโดยตรงมากับทางครอบครัว หรือร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าโรงพยาบาลวิภาราม เพราะเนื่องจากน้องสาวทำงานอยู่ที่นั่น ทุกคนจะช่วยกันรวบรวมและส่งเงินไปช่วยเหลือครอบครัวในการบำเพ็ญกุศลศพที่จังหวัดตาก

 

รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ "อ.อ๊อด" อาจารย์ นักวิชาการสาขาเคมีอินทรีย์ และผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังค มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บอกว่า เคสนี้เป็นการเสียชีวิตในรถ ที่สันดาปโดยใช้น้ำมัน ก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อย ซึ่งรถที่สันดาปโดยใช้น้ำมันจะเกิดปฏิกิริยาการเผาไหม้จนได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และถ้าเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ก็จะได้ก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์อยู่ด้วย ซึ่งเป็นก๊าซที่ได้จากการเผาไหม้ในรถยนต์ออกมาตลอด แต่จะออกมาในปริมาณน้อย ขึ้นอยู่กับสภาพความเก่าใหม่ของรถ ถ้าเป็นรถเก่า ก็จะผลิตคาร์บอนมอนออกไซด์ออกมาได้เยอะ

 

โดยก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ จะไม่มีสี ไม่มีกลิ่น จะแฝงมากับควันของท่อไอเสีย แล้วจะซึมเข้าไปในห้องผู้โดยสาร หน้าที่หลักของคาร์บอนมอนออกไซด์ จะไปจับกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ซึ่งปกติเม็ดเลือดแดงในร่างกายเราจะไปจับกับออกซิเจนแล้วสูบฉีดขึ้นไปเลี้ยงสมอง และจะให้ออกซิเจนต่อเซลล์และร่างกาย ก็จะทำให้เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ แต่ตัวคาร์บอนมอนออกไซด์ จะสามารถแย่งจับกับฮีโมโกลบิน คือ ความเร็วในการแย่งจับมากกว่าออกซิเจนถึง 200 เท่า ทำให้เลือดหรือฮีโมโกลบินในร่างกายจะไม่มีการขนถ่ายออกซิเจน จึงทำให้เซลล์ขาดออกซิเจน

 

ปริมาณที่ได้รับก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ เบื้องต้น ตั้งแต่ 20-30 PPM ก็จะเริ่มแสดงอาการ ก็คือ มีอาการแน่นหน้าอก คลื่นไส้อาเจียน แต่ถ้าปริมาณมากกว่า 2 พัน PPM ตัวนี้ถึงขั้นหมดสติ และเสียชีวิตได้ ถือเป็นภัยเงียบ ภัยร้าย ที่ต้องระวัง

 

ในรถรุ่นใหม่ที่มีสันดาปโดยใช้น้ำมัน จะมีกล่องที่อยู่ใต้รถ ที่เรียกว่า Catalytic converter ที่ติดมากับรถยนต์ แต่ส่วนใหญ่รถบ้านเราก็จะถอดออกหรือไม่ติดเพราะว่า มันเพิ่มราคา ซึ่งตัวนี้จะทำหน้าที่เปลี่ยนก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะไม่มีความสามารถไปแย่งจับกับฮีโมโกลบิน ซึ่งควรต้องตรวจเช็ก Catalytic converter ที่ติดมากับรถ อีกทางเลือกหนึ่งคือรถอีวี หรือ รถไฟฟ้า ถ้านอนหลับในรถไฟฟ้าก็จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ต้องขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิต และขอให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนที่ชอบเปิดแอร์นอนหลับในรถยนต์

 

จากกรณีพนักงานสอบสวนสน. บางขุนเทียน รับแจ้งเหตุพบศพนายอิฐฐิพัชร์ อายุ 60 ปี อาชีพโชเฟอร์แท็กซี่ เสียชีวิตใน สภาพสวมเสื้อยืดโปโลสีเขียว นุ่งกางเกงขาสั้นสีดำ นั่งเอนตัวพิงประตูรถฝั่งซ้ายเสียชีวิต ภายในรถ บริเวณซอยเอกชัย 56 แยก 2 แขวงคลองบางพราน เขตบางบอนแท็กซี่ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นโคโรล่า อัลติส สีฟ้า ซึ่งจอดอยู่ในลานจอดเอกชน

 

วันนี้ตำรวจได้นำรถไปไว้ที่สน. และมีการตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือตามประตูรถและจุดต่างๆของรถเพื่อยืนยันว่าการเสียชีวิตครั้งนี้เป็นการเสียชีวิตด้วยตัวเองไม่ได้มีบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง

 

ส่วนมูลเหตุการณ์เสียชีวิตนั้นทีมข่าวได้ เดินทางมาที่วัดบางประทุนนอกซึ่งเป็นจุดจัดงานศพนายอิฐฐิพัชร์ สอบถาม นางสาวสุรัมภา โปยทอง อายุ 43 ปี อดีตภรรยา เปิดเผยว่าชีวิตปกติของนายอิฐฐิพัชร์ จะชอบนอนในรถเนื่องจากขับรถแท็กซี่ก็จะนอนในรถเป็นประจำ และตื่นเช้ามาก็ไปอาบน้ำตามปั๊มน้ำมันและรับส่งลูกไปโรงเรียนโดยตนเองและนายอิฐฐิพัชร์ แยกทางกันนิสัยของนายอิฐฐิพัชร์ มักจะนอนในรถแบบนี้เป็นประจำโดยไม่ได้เปิดหน้าต่างเพราะกลัวยุงจะเข้าและไม่ได้สตาร์ทรถทิ้งไว้เพราะเปลืองแก๊ส ไม่ได้เช่าห้องพัก

 

ส่วนการเกิดเหตุครั้งนี้ก่อนจะเกิดเหตุตนเองมีปัญหากับนายอิฐฐิพัชร์ เนื่องจากรู้ว่าตนเองคบกับสามีใหม่และจะนำสามีใหม่เข้าบ้านทำให้นายอิฐฐิพัชร์ ไม่พอใจ โดยอ้างว่าเป็นห่วงลูกและบอกว่าหากนำสามีใหม่เข้าบ้านก็จะไม่มายุ่งเกี่ยวอีก ซึ่งคาดว่าเรื่องนี้อาจเป็นสาเหตุให้นายอิฐฐิพัชร์เครียดและดื่มเหล้าก่อนจะมานอนในรถและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

1 วันดับ 3 ศพ ไขปริศนานอนหลับตายในรถ