จากกรณีที่เด็กหญิง อลิส (นามสมมติ) วัย 3 ขวบ หายไปจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อ ตำบลคอนกาม อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ ก่อนพบจมน้ำเสียชีวิตอยู่ในสระน้ำกลางทุ่งนา ระยะห่างจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ไปประมาณ 800 เมตร เมื่อเวลา 12.40 น. ของวันที่ 14 มิ.ย. 67 ซึ่งพ่อแม่ยัน ไม่ปักใจเชื่อลูกตนเองเดินไปยังจุดเกิดเหตุ

 

ในช่วงเวลา 11.30 น. ทีมข่าวช่องแปดได้ ลงพื้นที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อ โดยได้พบกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ยางชุม และ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมนักจิตวิทยา โดยมีครูปูเป้ และกลุ่มผู้ปกครองของน้องๆ วัย 3 ขวบ กลุ่มเพื่อนของน้องอลิส จำนวน 6 คน ได้แก่ น้องสกาย น้องบลู น้องตะวัน น้องทับทิม น้องโปรดและน้องพริกแกง

 

ต่อมาผู้สื่อข่าวสังเกตุว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำน้องๆทั้ง 6 คน มาจำลองเส้นทางการเดิน จากจุดบันไดหลังโรงเรียน ไปยังจุดเกิดเหตุ และจำลองการปีนรั้วตาข่ายเพื่อดูความสามารถของเด็กๆ แต่ละคนในการปีนข้ามรั้ว

 

ทีมข่าวช่องแปด ได้จำลองเหตุการณ์ ให้หนูน้อยวัย 3 ขวบ น้องตะวัน (ผู้ชาย) และน้องบลู (ผู้หญิง) ทดสอบปีนออกจากรั้วศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ ไปยังจุดบันได ห่างกันประมาณ 10 เมตร โดยน้องตะวันสวมใส่รองเท้าผ้าใบ และน้องบลูสวมรองเท้าแตะ โดยน้องทั้ง 2 คนสามารถปีนรั้วด้วยตัวเองได้ อย่างคล่องแคล่ว แต่อีกฝั่งด้านนอก ขาของน้องๆ อาจจะไม่ค่อยถึงพื้นดิน จึงใช้วิธีเหยียบเสาด้านล่างพื้น หรือกระโดดลง

 

ทีมข่าวช่องแปด ได้จำลองเหตุการณ์ ให้หนูน้อยวัย 3 ขวบ น้องบลู และผู้ปกครอง พาไปยังจุดบันไดที่น้องอลิสและ เพื่อนอีก 3 คนออกไปเล่น นอกรั้วโรงเรียน 

 

โดยทีมข่าวช่องแปดได้ให้ ผู้ปกครอง สอบถามน้องบลู ว่าน้องอลิสก่อนเสียชีวิต ชอบเล่นตรงไหน สามารถบอกได้หรือไม่ น้องบลูจึงชี้ไปยังจุดด้านข้างๆบันได พร้อมหันหน้าหนี ซึ่งผู้สื่อข่าวสังเกตได้ว่า ลักษณะด้านข้างจะเป็นนา ลักษณะเชอะแฉะเล็กน้อย คาดว่าก่อนหน้านี้ อาจจะมีน้ำขังอยู่ 

 

อีกทั้งทีมข่าวสอบถามข้อมูลจากทางผู้ปกครอง ทราบมาว่าในจุดข้างบันไดที่น้องบลูชี้ คาดว่าเป็นจุดที่เด็กๆชอบแอบมาเล่นบริเวณนี้

 

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับ นางเกสร ผู้ปกครองของน้องโปรด (คุณย่า) เผยว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาน้องๆทั้ง 6 คน มาจำลองสถานการณ์การเดินจาก จุด ศูนย์เด็กเล็กฯ ไปยัง จุดพบศพน้องอลิส ระยะทาง 800 เมตร และจำลองการปีนรั้ว มายังจุดบันได โดยเด็กๆ ทุกคนสามารถทำได้ปกติ โดยหลังจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะนำผู้ปกครองทุกท่านที่พาบุตรหลานมาจำลอง ไปยัง สภ.ยางชุม เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม

 

ต่อมา ทีมข่าวช่องแปด ได้เจอกับ ป้านิ่ม หรือ (แม่ครัวศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อ) ขณะอยู่ด้วยกันกับครูน้อย โดยผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับป้านิ่ม เผยว่า ในวันนั้น ตนได้นำเมนูอาหารกลางวัน เป็นขนมจีน และขนมหวานข้าวโพดสาคูต้ม มาให้ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ ช่วงประมาณ เวลา 11.00 น. โดยตนไม่เห็นว่าน้องอลิสมากินข้าวหรือไม่ เนื่องจากเด็กๆวิ่งไปมา ในช่วงกลางวัน 

 

ซึ่งตนได้มองเห็นครูหนุ่ยข้ามรั้วตาข่าย ไปนำตัวเด็ก ประมาณ 4-5 คน (ตนจำชื่อเด็กไม่ได้) เพื่อนำกลับเข้ามาในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ จากนั้นตนจึงเดินตามไปดู แต่ไม่พบใครแล้ว เนื่องจากครูหนุ่ยได้นำตัวเด็กๆเดินไปยังหน้าศูนย์ฯ และเดินไปที่โรงอาหารช่วงที่เด็กๆทานข้าวกลางวันยังไม่เสร็จ

 

หลังจากนั้นตนมารู้อีกทีในช่วงน้องหาย ขณะคุณครูเรียกน้องอลิส จึงช่วยกันออกตามหา ตนจึงบอกให้ครูหนุ่ยประสานผู้ใหญ่บ้านและตามชาวบ้านมาช่วยตามหา เนื่องจากขณะนั้นไม่มีเบอร์ผู้ปกครองของน้องอลิสในมือถือ และตนเองก็ไม่มั่นในวันนั้น น้องอลิสได้ทานอาหารกลางวันหรือไม่ แต่ในช่วงเช้าน่าจะดื่มนมและขนมไป

 

จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางต่อไปพูดคุยกับนายหนุ่ม (นามสมมติ) ซึ่งเป็นสามีของครูหนุ่ย ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ยอมรับหลังเกิดเรื่อง ภรรยาก็พูดทำนองน้อยใจที่ถูกสังคมประนาม ส่วนเรื่องงาน ยืนยันว่าตนเองไม่ได้ไปก้าวก่ายภรรยามากหนัก เนื่องจากทำงานคนละสายงานกัน โดยที่ผ่านมาก่อนเกิดเหตุตั้งแต่ภรรยาเป็นครู ยืนยันว่าเขาไม่เคยมาระบายให้ฟังว่าเครียดจากการทำงาน และในฐานะที่เป็นสามี ก็ให้กำลังใจภรรยาไปแค่ว่า ให้ทำใจดีๆเราไม่ผิดมีอะไรก็ให้การกับตำรวจไปตามความจริง ส่วนประเด็นเรื่องที่เด็กจะเดินไปจมน้ำเองได้หรือไม่ กรณีดังกล่าวยอมรับว่า ไม่เชื่อว่าเด็กจะเดินไปเองได้ เพราะวันเกิดเหตุตนเองก็ไปดูในที่เกิดเหตุ ซึ่งระยะทางกับอุปสรรคในการเดินไปถึง ยังไงเด็กก็เดินไปเองไม่ได้ 

 

ส่วนเรื่องคนแปลกหน้า ยังไม่ได้ถามกับภรรยาว่ามีคนแปลกหน้ามาวนเวียนให้เห็นที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือไม่ ส่วนเรื่องที่เพื่อนครูหนุ่ย บอกกับนักข่าวว่า น้องอลิส อยากตาย ประเด็นดังกล่าว ตนเองก็ได้ยินมาว่า น้องอลิส เคยพูดว่าน้องอยากเป็นผี

 

ขณะเดียวกันหลังเสร็จสิ้นพิธีทางศาสนา ทีมข่าวได้สอบถามกับครูหนุ่ย อีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้เดินหนี และบอกกับสื่อมวลชนว่า ที่เดินทางมาร่วมงานศพ เป็นความตั้งใจที่จะมาทุกคืนจนกว่าญาติๆจะนำศพน้องอลิส ไปเผา ส่วนประเด็นอื่นๆคุณครูให้สัมภาษณ์ไปหมดแล้ว ซึ่งประเด็นที่เพื่อนคุณครู ให้ข้อมูลกับช่อง 8 ว่า ตัวครูมีอาการเครียดจนกินข้าวไม่ได้ ยอมรับว่าวันแรกกับวันที่สอง หลังเกิดเหตุคุณครู กินข้าวไม่ได้เลยจริงๆ แต่ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นแล้วและกินข้าวได้ตามปกติ ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้น ยืนยันว่าไม่ใช่เหตุการณ์การฆาตกรรม แต่ยอมรับว่าเป็นความประมาทของคุณครูเอง ซึ่งที่ครูยังไม่ไปรับทราบข้อกล่าวหา เป็นเพราะอยากจะให้ตำรวจดูและวิเคราะห์กรณีที่ลูกคุณครูปูเป้ ไปเดินจำลองเหตุการณ์ให้ตำรวจดูในวันนี้ก่อน และวันที่ 23 ยืนยันว่ายังไงตัวครูเอง ก็ต้องเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาตามที่นัดกับทางตำรวจไว้ ส่วนประเด็นที่สามีของครู พูดว่าเคยได้ยินน้องอลิส พูดว่าอยากเป็นผี เรื่องดังกล่าวคุณครูไม่เคยพูดและไม่เคยรู้มาก่อน ส่วนประเด็นเรื่องแพรมเพส ทางครูไม่เคยเห็นน้องถอด แต่เป็นครูปูเป้ และครูน้อย เป็นคนดูแลเรื่องนี้ ซึ่งตอนนี้ไม่มีอะไรจะพูดมากกว่านี้และขอความเป็นส่วนตัวเอาไว้แค่นี้ก่อน

 

ขณะเดียวกันช่วงที่ ผอ.กำลังเดินทางกลับ ทีมข่าวมองไปเห็นครูน้อย เดินมาพูดคุยกับทาง ผอ. แต่ไม่ได้เดินเข้าไปที่งานศพในช่วงที่ชาวบ้านนั่งดูทีวีกันอยู่จึงมีการเดินเข้าไปสอบถามกับครูน้อย เพิ่มเติมในประเด็นที่ยังสงสัย 

 

โดยทางครูน้อย ยืนยันกับทีมข่าวว่า ยังไงก็ไม่เชื่อว่าน้องอลิส จะเดินไปตรงจุดที่พบศพด้วยตัวเอง เนื่องจากที่ผ่านมาน้องอลิสไม่เคยเดินไป ส่วนประเด็นที่สงสัยกันว่าใครเป็นคนเห็นน้องอลิส ไปยืนเล่นอยู่ตรงบันได เรื่องดังกล่าวครูหนุ่ยเป็นคนเห็น ส่วนครูน้อย ที่ไม่เห็นเพราะตอนนั้นพาเด็กนักเรียนไปล้างมืออยู่ และครูน้อย ก็เจอกับน้องอลิส ครั้งสุดท้ายตอนประมาณ 10.30 น. ซึ่งตอนที่เห็น เห็นน้องอลิส เล่นชิงช้าอยู่กับเพื่อนรวม 3 คน

 

หลังจากนั้นประมาณ 11 โมงกว่าๆครูน้อยก็เป็นคนพาน้องอลิส มาล้างมือเพราะมือน้องอลิส เปื้อนดินจากการหยิบดินมาใส่ขวดน้ำหวาน จากนั้นเมื่อล้างมือเสร็จ ตัวครูน้อย ก็ไปช่วยแม่ครัวจัดถาดข้าวเลี้ยงให้เด็ก ซึ่งช่วงดังกล่าวเป็นช่วงวุ่นวายเนื่องจากเด็กบางส่วนร้องและบางคนก็ไม่ยอมมานั่งกินข้าว ส่วนน้องอลิส ถามว่าเห็นน้องนั่งกินข้าวอยู่กับเด็กคนอื่นหรือไม่ กรณีดังกล่าวยอมรับว่าครูน้อย ไม่ได้สังเกตเพราะตอนนั้นเด็กมีการเดินไปเดินมา และบางคนก็ห่วงเล่นมากกว่ากินข้าว

 

ส่วนช่วงเวลาที่น้องอลิสหาย ยอมรับว่าครูระบุเวลาไม่ได้ว่าหายไปตอนกี่โมง เนื่องจากครูไม่ได้ดูนาฬิกา แต่ยืนยันว่าน้องอลิส หายไปก่อนที่ครูจะพาเด็กๆ เข้านอนกลางวัน ซึ่งประเด็นนี้ที่แน่ใจก็เป็นเพราะว่าครูน้อยจำได้ว่ายังปูที่นอนให้เด็กเล็กกว่าน้องอลิสไม่เสร็จ และถามว่าทำไมถึงรู้ว่าน้องอลิสหายไป ก็เป็นเพราะว่าเด็กที่ปูที่นอนเองได้ มารับที่นอนกันไปแล้วทุกคน แต่ต้องอลิส ไม่ได้มารับที่นอน ครูจึงมั่นใจว่าน้องอลิส ไม่อยู่ ก็เลยไล่ถามทุกคนกระทั่งออกตามหา ซึ่งตัวครูน้อยกับครูเป้ เดินออกไปหาทางข้างล่างก็คือตรงบันได ส่วนแม่ครัว ออกไปตามหาที่วัด และครูหนุ่ย ก็เป็นคนอยู่ดูแลเด็กที่เหลืออยู่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และระหว่างที่เดินตามหา ยืนยันว่าไม่เห็นคนแปลกหน้าอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุ 

 

ส่วนประเด็นเรื่องรองเท้า ยืนยันว่าน้องอลิส เป็นคนชอบใส่รองเท้าของน้องพริกแกงอยู่แล้ว ซึ่งครูก็เคยถามว่าทำไมชอบใส่ เท่าที่จำได้น้องอลิสบอกว่ารองเท้าของน้องพริกแกงสวย และวันนั้นที่ครูเห็นเด็กออกไปวิ่งเล่นกัน เห็นน้องพริกแกงใส่แต่ถึงเท้าออกไปวิ่ง

 

ส่วนประเด็นเรื่องผ้าอ้อมสำเร็จรูป ยอมรับว่าส่วนมากคุณครูจะเป็นคนถอดให้เด็กทุกคน ซึ่งตัวน้องอลิส ด้วยความฉลาดในตัวเขา ยืนยันว่าครูเคยเห็นน้องถอดเองได้ เพราะครูเคยเห็นเวลาน้องปวดท้อง น้องก็เคยถอดเองและเดินไปแอบอึโดยไม่บอกคุณครู ส่วนประเด็นอื่นๆในส่วนของตัวครูหนุ่ยกับครูเป้ ถ้านักข่าวอยากได้ข้อมูล ต้องรอถามเจ้าตัวด้วยตัวเองเพราะครูน้อยตอบแทนคนอื่นไม่ได้

 

เปิดคลิปน้องอลิส นั่งรถตีแต๊กกับญาติ + วงจรปิดเปรียบเทียบน้องอลิส เดินเล่นร้องเพลงให้ปู่ฟัง และเดินไปไกลสุดแค่หน้าบ้าน

 

ขณะเดียวกันประเด็นที่สังคมสงสัยว่า ตัวน้องอลิส เดินได้มากและไกลขนาดไหน วันนี้ทีมข่าวไปได้ทั้งคลิปน้องอลิส ตอนยังมีชีวิตอยู่และภาพวงจรปิดก่อนจะเกิดเหตุ 1 วัน ก็คือวันที่ 13 มิถุนายน

 

โดยคลิปจะเห็นว่า น้องอลิส มีร่างกายค่อนข้างจะแข็งแรง เพราะคลิปที่เห็นเป็นในขณะที่น้องอลิส กำลังนั่งอยู่บนรถอีแต๊ก ไปพร้อมกับทางญาติๆ ซึ่งตัวน้องเอง มีการนั่งเองได้โดยไม่ได้มีความหวาดกลัว แต่ก็ต้องมีทางญาตินั่งประคองไปด้วยตลอดเวลา

 

ส่วนภาพวงจรปิดก่อนจะเกิดเหตุ 1 วัน ก็คือวันที่ 13 มิถุนายน ในช่วงกลางวันจะเห็นว่าน้องอลิส เวลาเดินในบ้านก็จะเดินเท้าเปล่า บ้างใส่รองเท้าเดินบ้าง และก็เดินไปไกลสุดแค่หน้าบ้านเท่านั้น 

 

ส่วนคลิปถัดไป จะเห็นว่าพอตกกลางคืนตัวน้องอลิส ก็จะใช้ชีวิตกับทางครอบครัวมีการนอนเล่นและนั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ซึ่งเสียงในคลิป จะได้ยินเสียงปู่พูดกับน้องอลิสว่า ร้องเพลงให้พ่อฟังหน่อย ซึ่งน้องอลิส ก็ร้องเพลงขึ้นมาให้ทางปู่ฟังทันที

 

ส่วนวงจรปิดในวันเกิดเหตุ ตามไทม์ไลน์ของครูที่ขับรถไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก / วงจรปิดจุดที่ 1.ซึ่งเป็นร้านค้าใกล้บ้านของครูเป้ จะเห็นว่า ในเวลา 07.39 น. ของวันที่ 14 มิถุนายน ทางครูเป้ มีการขับรถอีซุซุมิวเอ็กซ์สีขาว มุ่งหน้าออกจากบ้าน เพื่อไปเข้างานให้ทันก่อน 8 โมงเช้า จากนั้นเมื่อพ้นกล้องจุดที่ 1.มาแล้ว รถของครูเป้ ก็จะผ่านตามกล้องของชุมชนเพื่อมุ่งหน้าไปยังเส้นทางศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก

 

จนกระทั่ง วงจรปิดจุดที่ 3. ซึ่งเส้นทางใกล้กับทางเข้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ก็จะเห็นว่าครูเป้ มีการขับรถมุ่งหน้าไปทำงานโดยไม่ได้แวะที่ไหน

 

จากนั้นผ่านไปประมาณ 7 นาที ในเวลา 07.46 น. ก็จะเห็นรถกระบะสี่ประตูสีดำของครูหนุ่ย ขับมุมหน้าตามครูเป้ ไปยังเส้นทางเดียวกันตามภาพวงจรปิดทั้ง 3 มุม

 

วันนี้ทีมข่าวได้เดินทางมาพูดคุยกับ คุณพ่อและคุณแม่ ของน้องอลิส ว่า มันมีหลายเรื่องที่ทำให้ยังติดใจ เช่น บอกว่าน้องไปเอง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เรื่องรองเท้าก็สงสัย แต่ก็ไม่ได้ว่าเขานะ แต่มันน่าสงสัยในตัวบุคคลที่ดูแลน้องในช่วงเวลานั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้อง มันคิดได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะอุบัติเหตุที่โรงเรียนหรือพาน้องมาทำโทษ เอาน้องไปปล่อยเดินลงไปเล่นคนเดียว มันเป็นไปได้หมด

 

และตัวเขาก็ไม่เคยมาพูดคุยหรืออธิบายว่าในเวลาเกิดเหตุ มันคืออะไร พฤติกรรมเด็กเป็นยังไงดื้อหรือซนหรือไม่ เขาไม่มาอธิบายอยากให้เขาอธิบายให้ฟังเห็น ว่าเหตุการณ์เป็นยังไง ตั้งแต่เกิดเรื่องท่าทางเขาเป็นกังวล ดูลุกลี้ลุกลน ตนไม่รู้จักคุณครู หรือประวัติ ของคุณครูเลย ว่าเคยทำอะไรมา

 

แต่ก่อนหน้าวันน้องเสีย เขาบอกว่า หนูไม่อยากไปโรงเรียน แต่ตนก็ให้เขาไป เพราะคิดว่า น้องติดพ่อแม่ เป็นคนแต่งตัวบังคับตั้งแต่เช้าให้อาบน้ำให้ และมีหลายๆครั้งที่เขาพูด แต่ก็ไม่คิดอะไรอยากให้คุณครูมาพูดความจริง อะไรที่ปิดไว้ ให้มาอธิบาย ถึงตอนนี้จะมีการตั้งข้อหาแล้ว ก็ยังไม่พอใจ แต่จะไปเรียกร้องที่ไหนไหม ก็คงต้องปรึกษากันก่อน

 

ต่อมา ผู้สื่อข่าวช่องแปดได้พูดคุยกับ นางคำ ชาวบ้านใกล้จุดเกิดเหตุ พบน้องอลิสก่อนเสียชีวิตหรือไม่ โดยกล่าวว่า ปกติตนจะมานั่งตรงนี้ทุกวัน โดยวันเกิดเหตุ ได้มานั่งเล่น ช่วงเวลา 11.00 น. ซึ่งยายไม่เห็นเด็กเดินผ่านมาฝั่งบ้านตน หรือ เดินลงไปตรงบริเวณทุ่งนา และไม่เห็นรถใครขับมาตรงกลางทุ่งนาในช่วงเที่ยง

 

หลังจากนั้น ช่วงเที่ยงตนเองได้สังเกตเห็นผู้หญิงใส่เสื้อสีชมพูวิ่งมาจากนา มายังบ้านผู้ใหญ่บ้าน และหลังจากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็วิ่งตามลงไปต่อด้วย เจ้าหน้าที่ คนอื่นๆ 

 

จนกระทั่งเห็นย่า ของน้องอลิสขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมา ตนจึงสอบถามว่าใครเป็นอะไร ญาติของน้องอลิสจึงบอกว่าหลานของตนจมน้ำเสียชีวิต จากนั้นก็เห็นญาติๆ และชาวบ้านวิ่งลงไปดูจุดเกิดเหตุ โดยยายยืนยันว่า ในวันเกิดเหตุตนไม่ได้ยินเสียงผู้ใหญ่บ้านประกาศเสียงตามสายให้ช่วยกันตามหาคนหายเลย 

 

อีกทั้งยายคำ ยืนยันอีกว่า ตั้งแต่ตนเองมานั่งเล่นริมนา ทุกวัน ตรงบริเวณสระน้ำจุดเกิดเหตุ ไม่เคยมีเด็กคนไหนลงไปเล่นน้ำ เนื่องจากเป็นสระน้ำขนาดลึกและไกล

 

ขณะเดียวกันเมื่อช่วง 17.00 น. ที่ผ่านมา นอกทางครู มีตำรวจถือพวงหรีด เป็นชื่อของทางผู้กำกับการ สภ.ยางชุมน้อย เข้ามามอบให้กับทางญาติๆของน้องอลิส เช่นเดียวกัน 

 

จากนั้นทางตำรวจก็มีการนั่งคุยกับญาติๆ ซึ่งญาติก็ถามถึงความคืบหน้าในเรื่องคดี โดยตำรวจที่มา ก็อธิบายให้ญาติๆฟังว่า ถ้ามีความคืบหน้ายืนยันว่าตำรวจจะมาแจ้งกับทางญาติอย่างแน่นอน ส่วนการสอบปากคำครู ทางตำรวจเรียกไปสอบตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้ว ส่วนทางแม่ครัว ตำรวจเรียกไปสอบปากคำในเรื่องการกินอาหารของเด็กๆในวันเกิดเหตุ ซึ่งการสูญหายของน้องอลิส ไม่เกี่ยวกับทางแม่ครัว แต่ทางตำรวจก็ได้สอบถามว่าเห็นหรือไม่ในช่วงเวลาที่น้องอลิส หายออกไป ยืนยันทางตำรวจจะไขข้อข้องใจที่ญาติติดใจให้มากที่สุด จากนั้นทางญาติๆ ก็พยายามพูดให้ตำรวจฟังว่า ยังไงทางญาติก็ไม่เชื่อว่าน้องอลิส จะเดินไปจมน้ำเอง ซึ่งญาติเข้าใจประเด็นที่เด็กจมน้ำตายเองได้ แต่อยากจะรู้ว่าใครเป็นคนย้ายศพน้องอลิส ไปทิ้งตรงจุดที่เจอศพ ซึ่งวันที่ไปฟังผลชันสูตร ทางหมอโรงพยาบาลศรีสะเกษ ก็บอกเหตุผลไม่ได้ว่าน้องจมน้ำขุ่นหรือน้ำไส ซึ่งญาติไม่ได้บอกว่าไม่ยอมรับฟังผลที่ออกมา แต่ที่ต้องยังพูดคุยกันถึงเรื่องดังกล่าว เพราะทางญาติคาใจว่าศพน้องอลิส ไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง

ตำรวจพาเด็ก 6 คนจำลองเหตุการณ์ ไขปริศนาวันตาย "น้องอลิส"