คิกออฟ! นับ 1 ดิจิทัลวอลเลต เปิดลงทะเบียน 1 ส.ค. - 15 ก.ย. นี้ ผ่านแอปฯ "ทางรัฐ" ครอบคลุม 50 ล้านคน กำหนดเงื่อนไข อายุ 16 ปีขึ้นไป รายได้ไม่เกิน 840,000 บาท/ปี ขณะประชาชนไม่มีสมาร์ทโฟน ลงทะเบียนได้ 16 ก.ย.-15 ต.ค. ใช้จ่ายได้ผ่านบัตร ปชช. - ร้านค้าลงทะเบียน 1 ต.ค. เป็นต้นไป ยืนยันเริ่มใช้จ่ายได้ภายในไตรมาสที่ 4

วันที่ 24 ก.ค. 2567 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกันแถลงก้าวแรกของโครงการ Digital Wallet โครงการเพื่อประชาชน ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย

โดยนายพิชัย เริ่มต้นจากการตอบคำถามที่ประชาชนสงสัยเกี่ยวกับการเดินหน้าโครงการดิจิทัล วอลเล็ต คำถามแรก "ทำไมต้องทำโครงการ Digital Wallet" คำตอบคือประเทศเรามีปัญหาเศรษฐกิจ มีหนี้สาธารณะเกิดขึ้น มากกว่า 90% ของ GDP เพราะประชาชนมีรายได้ต่ำกว่ารายจ่าย ยอดการส่งออกก็ตกต่ำ มีปัญหาทั้งประชาชนและผู้ประกอบธุรกิจ วันนี้แค่เดินไปเดินมาก็รู้แล้วว่า มันเกิดวิกฤต จึงจำเป็นต้องแก้วิกฤตนี้ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้าง เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของโลกนี้ได้ ด้วยปัญหา เหล่านี้ มันจึงไม่ใช่เป็นโครงการอุดหนุน แต่ต้องเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค และไม่ใช่เป็นการเติมครั้งเดียว

ส่วนคำถามที่ว่า จะทำให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจอย่างไร คำตอบคือ พายุลูกแรกมันจะเกิดระหว่างประชาชนกับร้านค้าขนาดเล็ก ลูกที่ 2 ระหว่างร้านค้าขนาดเล็กกับร้านค้าขนาดใหญ่ ลูกที่ 3 ระหว่างร้านค้าขนาดใหญ่กับร้านค้าขนาดใหญ่ และพายุหมุนลูกที่ 4 คือเกิดการซื้อขายโปร่งใสกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยประชาชนเองทั่วประเทศ เกิดการจ้างงานจำนวนมาก แล้วตนมองว่าถ้าร้านค้าขนาดเล็กไปซื้อร้านค้าขนาดใหญ่ได้ส่วนลดแน่นอน

ส่วนเรื่องของความโปร่งใส ยืนยันด้วยว่า เรามีระบบฐานข้อมูลหรือบล็อกเชน ซึ่งจะมีการเก็บหลักฐานการทำธุรกรรม ซึ่งยอมรับว่ามันจะมีการทำธุรกรรมหลายร้อยล้านครั้ง แต่มันจะตรวจสอบ ย้อนหลังได้ทั้งหมดและเมื่อพบปัญหาก็จะสามารถแก้ไขได้

ส่วนคำถามที่ว่า ใช้เงินก้อนโตรัฐบาลไม่กลัวหรือ นายพิชัย กล่าวว่า ยอมรับโครงการนี้ จะทำให้เกิดการก่อหนี้ แต่มันจะชดใช้จากการเก็บภาษี และโครงการนี้ก็จะทำให้การเก็บภาษีเพิ่มขึ้น มันไม่ใช่กรรมการแจกเงินธรรมดาแต่เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ขณะที่นายจุลพันธ์ เปิดเผย ถึงแหล่งเงินการดำเนินการโครงการจำนวนทั้งหมด 450,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 และการบริหารทางการคลังและการบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 จำนวน 165,000 ล้านบาท งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2568 การบริหารการคลังและการบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 จำนวน 285,000 ล้านบาท

 

 

โดยคุณสมบัติของประชาชนที่จะเข้าร่วมโครงการมีดังนี้

- ต้องมีชื่อที่อยู่ในทะเบียนบ้าน สัญชาติไทย อายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ปิดรับลงทะเบียนคือวันที่ 15 กันยายน 2567
- ไม่เป็นผู้มีรายได้เกิน 840,000 บาทต่อปี และไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากธนาคารพาณิชย์ และสถาบันทางการเงินรวมกันเกิน 500,000 บาท
- ไม่เป็นผู้ถูกระงับสิทธิ์หรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการโครงการอื่นๆของรัฐ
- ไม่เป็นผู้ถูกระงับสิทธิ์หรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการอื่นๆของรัฐ
- เป็นผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป รายได้ไม่เกิน 840,000 บาท/ปี

ส่วนขณะประชาชนไม่มีสมาร์ทโฟน ลงทะเบียนได้ 16 ก.ย. - 15 ต.ค. ใช้จ่ายได้ผ่านบัตรประชาชน ส่วนร้านค้าลงทะเบียน 1 ต.ค. เป็นต้นไป และจะสามารถใช้จ่ายได้ภายในไตรมาสที่ 4

 

 

โดยประชาชนที่จะใช้จ่ายต้องอยู่ในเขตอำเภอเดียวกัน ส่วนร้านค้าสามารถซื้อขายกันได้โดยไม่ได้กำหนดขอบเขต โดยยกเว้น สินค้า Negative list อาทิ สลากกินแบ่งรัฐบาล , เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ , ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา กระท่อม บัตรกำนัล บัตรเงินสดทองคำ เพชร พลอย อัญมณี น้ำมันเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องมือสื่อสาร ซึ่งกระทรวงพาณิชย์อาจพิจารณาสินค้า ใน หมวด Negative list อีกครั้ง ซึ่งในสินค้าเหล่านี้ไม่รวมค่าบริการ

ขณะที่ นายเผ่าภูมิ ได้เปิดเผยขั้นตอนการลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตนโดยต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ทั้งระบบ iOS และแอนดรอยด์

การลงทะเบียนจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ ประชาชนที่ไม่เคย ลงทะเบียนและยืนยันตัวตนผ่านแอปฯ ทางรัฐ และผู้ที่เคยลงทะเบียนแล้ว

สำหรับประชาชนที่ยังไม่เคยลงทะเบียนและยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” จะต้องดาวน์โหลดและกดปุ่มลงทะเบียนรับสิทธิ์ กดยอมรับเงื่อนไขต่างๆ พร้อมกรอกรายละเอียดส่วนบุคคล ถ่ายรูปยืนยันอัตลักษณ์ และทำ ตามคำแนะนำของแอปพลิเคชัน

สำหรับผู้ที่เคยยืนยันตัวตนแล้ว สามารถกดปุ่มลงลงทะเบียนรับสิทธิ์และอนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมกดยอมรับสิทธิ์และเงื่อนไขโครงการ ภายในวันที่ 15 กันยายน จากนั้นจะมีการตรวจสอบสิทธิ์ และได้รับการแจ้งสิทธิ์พร้อมกันในวันที่ 22 กันยายน ผ่านทางแอปพลิเคชัน เพื่อให้ผู้ที่ผ่านเกณฑ์กดรับสิทธิ์ ส่วนหากไม่ผ่าน จะมีการชี้แจงว่าไม่ผ่านเพราะอะไร และแนะนำวิธีการอุทธรณ์สิทธิ์ ผ่านเว็บไซต์ www.กระเป๋าเงินดิจิทัล.รัฐบาล.ไทย
www. Digital wallet .go.th หรือโทร 1111

อย่างไรก็ตาม กำหนดการดังกล่าว ในตอนแรก จะเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แถลงด้วยตนเอง แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแทน