กรณี เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 22 กรกฎาคม 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เขาพนม จ.กระบี่ รับแจ้งเหตุทำร้ายร่างกายกันด้วยอาวุธมีดเสียชีวิต ที่เกิดเหตุเป็นบ้านหลังหนึ่ง ตำบลหน้าเขาอำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ ทราบชื่อผู้ถูกแทงคือนายปรีชาอายุ 52 บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในภายหลัง 

 

ส่วนผู้ก่อเหตุชื่อนางราตรี อายุ 52 ปี ซึ่งเป็นภรรยาตามทะเบียนสมรสของผู้เสียชีวิตในขณะนี้ ภายหลังจากเกิดเหตุผู้ก่อเหตุได้ตามสามีไปที่โรงพยาบาลก่อนที่จะยืนรอมอบตัวที่โรงพยาบาลเขาพนม 

 

วันนี้ 24 ก.ค.2567 ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมายัง สภ.เขาพนม ซึ่งทำการควบคุมตัวนางราตรี ผู้ก่อเหตุ ไปฝากขังที่ศาลจังหวัดกระบี่ จังหวะที่มีการควบคุมตัวผู้ต้องหาออกมาขึ้นรถนั้น ทีมข่าวได้สอบถามเจ้าตัวถึงเรื่องในการก่อเหตุ รวมถึงอยากฝากอะไรถึงนางสาวอภิชญา หรือไม่ นางราตรี ก็ตอบแค่ว่า “ไม่ค่ะ” เพียงแค่คำเดียว พร้อมมีสีหน้าที่เรียบเฉย ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะพาตัวผู้ต้องหาไปส่งฝากขังที่ศาลจังหวัดกระบี่ต่อไป

 

ซึ่งวันนี้ นางสาวอภิชญา เธอได้เปิดใจกับทีมข่าวอีกครั้ง และขอร้องให้ทีมข่าวแก้ข่าวให้ด้วยว่า ประเด็นแรกคือนายปรีชา ผู้เสียชีวิต ไม่ได้เป็นหนุ่ม 3 เมีย แต่เขาคบหาทีละคน จึงไม่อยากให้ใช้คำว่าหนุ่ม 3 เมีย เพราะสร้างความเสียหายให้กับผู้ตาย

 

ประเด็นที่ 2 ตัวเองไม่ได้เป็นเมียคนที่ 3 ของนายปรีชา แต่ให้ใช้คำว่า ตัวเองเป็นอดีตภรรยาของนายปรีชา เพราะตัวเองเคยคบหากันเป็นผัวเมีย เมื่อปี 2565-2566 กระทั่งวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 ฝ่ายชายได้ไปแอบจดทะเบียนสมรสกับนางราตรี หลังจากนั้น ตัวเองจึงตีตัวออกห่างแล้วย้ายไปทำงานที่จังหวัดภูเก็ต เพราะหากตัวเองใช้ชีวิตสามีภรรยากับนายปรีชาต่อ จะไม่เหมาะสม เพราะตัวเองก็เป็นนักกฎหมายอีกด้วย ซึ่งตลอดเวลาปี 2567 ที่ผ่านมาตัวเองก็ ทำงานและอาศัยอยู่ในจังหวัดภูเก็ตมาตลอด ซึ่งตัวเองเพิ่งกลับมาจังหวัดกระบี่ได้ไม่กี่วันเพื่อมาพูดคุยเรื่องการสร้างบ้านหลังใหม่ และตัวเองก็มีการปรึกษานายปรีชาเกี่ยวกับเรื่องการสร้างบ้าน เพราะผู้ชายเขาจะเก่งเรื่องนี้ กระทั่งเขาก่อเหตุถูกแทงเสียชีวิต ส่วนนางสมจิตร เขาก็เป็นอดีตภรรยาผู้ตาย ไม่ได้เป็นเมียคนที่ 1 แต่อย่างใด ซึ่งตัวเองไม่อยากให้ใช้คำว่า เมียคนที่ 1,2,3 แต่อย่างใด 

 

ประเด็นที่ 3 ที่ข่าวไปออกว่าตอนเกิดเหตุนั้นตัวเองนั่งจู๋จี๋อยู่กับนายปรีชาผู้เสียชีวิต ตัวเองขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ซึ่งตอนเกิดเหตุนั้นตัวเองนั่งอยู่กันหลายคนรวมญาติญาติก็ประมาณ 10 คน แล้วก็นั่งกินข้าวกันไม่ได้นั่งจู๋จี๋กันแต่อย่างใด จึงอยากให้แก้ข่าวเรื่องนี้ด้วย 

 

ตัวเองบอกว่าประเด็นหลักที่ฝ่ายนั้นเค้ามาก่อเหตุน่าจะมาจากเรื่องสมบัติทรัพย์สินของผู้ตาย มากกว่าเรื่องหึงหวงหรือไม่ เพราะผู้ตายมีที่ดินจำนวนหลาย 100 ไร่ รวมถึงมีทรัพย์สินอื่นๆอีกด้วย ซึ่งพอนายปรีชาถูกฆาตกรรมเสียชีวิตแล้ว เขามีบุตรที่ชอบด้วยกฏหมายจำนวน 3 คน คือบุตรกับนางสมจิตร 2 คน และกับนางราตรี ผู้ต้องหา อีก 1 คน 

 

ส่วนที่ฝังญาติของผู้ก่อเหตุไปทำเรื่องขอประกันตัวนางราตรีในช่วงบ่ายของวันนี้นั้น ตัวเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะมองว่าเป็นดุลย์พินิจของศาลที่จะให้ประกันหรือไม่ให้ประกัน แต่ฝั่งตัวเองก็ไม่ได้ขอคัดค้านการประกันตัวแต่อย่างใด 

 

แต่ยอมรับว่าตั้งแต่ตัวเองตั้งศพนายปรีชา ไว้ที่บ้าน ก็ยังไม่มีญาติของผู้ก่อเหตุมาร่วมงานศพแม้แต่คนเดียว ซึ่งตัวเองก็ยินดีหากทางฝั่งนั้นจะมาร่วมงานศพ ด้วยตัวเองยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เสนอหน้า เอาศพน้าปรีชามาตั้งไว้ที่บ้าน แต่ตัวเองทำเพราะตัวเองทิ้งเขาไม่ได้ เขาไม่มีใคร อดีตครั้งหนึ่งตัวเองก็เคยใช้คำว่าสามีภรรยากับผู้ตาย 

 

เมื่อวานนี้ที่นายปรีชาเขานอนเป็นศพ แล้วตัวเองเข้าไปกอดไปจูบนายปรีชานั้น เพราะตัวเองเชื่อว่าเขาต้องการแบบนี้ และเขาก็เป็นห่วงตัวเอง ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้ฝากฝังตัวเองเรื่องเกี่ยวกับจะยกที่ดินบางส่วนให้ตัวเองและจะยกเงินจำนวน 1,000,000 ให้ตัวเองอีกด้วย เพื่อให้ตัวเองไปดูแลแม่ของเขาที่ป่วยติดเตียงในจังหวัดสุราษฎร์ธานี

คดีส่อพลิก! เมีย 2 ฆ่าผัวอาจหวังมรดก 10 ล้าน