เปย์หลายแสนส่งสามีเรียนจบตำรวจ สุดท้ายกลับโดนสามีทิ้งไปอยู่กับหญิงคนใหม่ ซ้ำยังไม่ใช่คนอื่นไกล เพราะหญิงคนนั้นดันเป็นน้องสะใภ้ตัวเอง

(9 มี.ค. 2564) นางเอ นามสมมุติ อายุ 57 ปี ชาว อ.สนม จ.สุรินทร์ ได้เข้ามาขอคำปรึกษาด้านกฎหมายจากทนายความ หลังสามีซึ่งได้จดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมายและเป็นตำรวจในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ยศระดับ ร.ต.อ. นายหนึ่ง ทิ้งไปอยู่กินกับหญิงคนใหม่ อายุ 44 ปี อีกทั้งหญิงคนดังกล่าวยังเป็นน้องสะใภ้ของตนเองอีกด้วย ซ้ำสามียังไม่เคยมาเหลียวแล ทิ้งภาระหนี้สินที่เคยกู้เงินจากธนาคารเพื่อนำไปส่งเสียให้เรียนจบตำรวจไว้อีกกว่า 500,000 บาท

โดยนางเอ เล่าด้วยความช้ำใจว่า ตนอยู่กินกับสามีมาตั้งแต่ปี 2540 ไม่มีลูกด้วยกัน แต่ตนมีลูกติดมาด้วย 2 คน และได้จดทะเบียนสมรสเมื่อปี 2543 ต่อมาสามีสอบติดโรงเรียนตำรวจ ที่ จ.นครราชสีมา ซึ่งตนก็ส่งเสียมาตลอดจนจบนายสิบตำรวจ โดยมีการกู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์การเกษตรออมทรัพย์ จำนำยุ้งฉางกับ ธ.ก.ส. จากนั้นสามีได้สอบเข้าเรียนในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ จนจบ แล้วก็สอบเข้าโรงเรียนนักเรียนนายร้อยตำรวจอบรม และเมื่อออกมาก็ได้รับการบรรจุเป็นร้อยตำรวจตรีตั้งแต่ปี 2554 ในระหว่างนั้นตนได้กู้หนี้ยืมสิน จากที่ต่างๆเพื่อส่งเสียให้กับสามีได้ร่ำเรียนจนจบการศึกษาและบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร ต่อมาสามีได้มีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ใช่คนอื่นไกลเพราะเป็นน้องสะใภ้ของตนเอง แล้วก็อยู่กินกันมาจนผู้หญิงคนใหม่มีบุตรสาว 1 คน สามีจึงได้ย้ายออกจากบ้านตน แล้วก็ไปอยู่กินฉันสามีภรรยากับผู้หญิงคนใหม่

ตนกับสามี ได้จดทะเบียนสมรสกันถูกต้อง แต่กับผู้หญิงคนใหม่ไม่มีการจดทะเบียนสมรสแต่อย่างใด มีแค่การรับรองบุตรผู้หญิงที่เกิดขึ้นมาใหม่เท่านั้น เมื่อปี 2562 ตนเคยฟ้องร้องผู้หญิงที่สามีไปอยู่กินด้วยต่อศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย ศาลได้มีคำพิพากษาให้ชดใช้เป็นเงิน 100,000 บาท แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าว เนื่องจากผู้ถูกฟ้องไม่มีทรัพย์สินใดๆ

ต่อมาได้เข้าร้องเรียนกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสามี ที่กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ โดยมี พ.ต.อ.เอกชัย ปรัชญาวุฒิรัตน์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ เป็นผู้เซ็นรับรองว่าได้มีการทำสัญญาต่อกันจริง โดยทางสามีจะยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ตน เป็นเงินจำนวน 405,000 บาท และตนจะชดใช้เงินในส่วนที่เหลือจำนวน 115,000 บาท เนื่องจากตนเองนั้นมียอดหนี้สินรวมทั้งสิ้น 520,000 บาท

แต่หลังจากทำสัญญา สามีที่เป็นตำรวจไม่ได้ชดใช้เงินให้กับตนแม้แต่บาทเดียว แถมยังบอกกับตนอีกว่า ถ้าอยากได้ให้ไปฟ้องเอา ทำให้ต้องมาพึ่งทนายความเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยค่าเสียหาย ถ้าไม่มาจัดการให้เรียบร้อยตนจะทำตามกฎหมายฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ค่าเลี้ยงดู และฟ้องอาญาด้วย ถ้ายอมความกันได้ตนก็จะยกเลิกการดำเนินการดังกล่าว แต่ทั้งนี้สามีจะต้องชดใช้เงินให้กับตนให้เรียบร้อย ตนจึงจะยุติและพร้อมที่จะทำเรื่องหย่าให้

ด้านนายคำสิงห์ ชอบมี ทนายความ กล่าวว่า จริงๆแล้วเรื่องนี้ทางฝ่ายผู้เป็นภรรยาเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรมาก เพียงแต่อยากให้ทางฝ่ายสามีที่เป็นตำรวจ มาชดใช้เงินที่เป็นหนี้สินที่ค้างอยู่ตามสัญญาที่เคยทำข้อตกลงกันไว้ เขาก็เห็นใจเพราะทางผู้หญิงฝั่งนั้นก็มีลูกด้วยกัน 1 คน หากฟ้องไปแล้วถึงขั้นต้องออกจากราชการทางโน้นก็ลำบากเหมือนกัน ตนให้เวลากับผู้ที่ถูกกล่าวหาอีกสัก 10 กว่าวัน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้เคลียร์ปัญหาต่อกัน หากตกลงกันได้ก็ถือว่ายุติ