'สิระ' ท้าเดิมพัน 'สันธนะ' 1 ล้านบาท เปิดชื่อคนมีสีอยู่โรงแรมรอ 'แตงโม'-เเนะ 'มงคลกิตติ์' นำคลิปคล้ายชายสองคนโยนคนลงน้ำส่งตำรวจ 

 

วันที่ 8 มี.ค. 2565 นายสิระ เจนจาคะ อดีต ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะเจ้าของสำนักกฎหมายเพื่อประชาชน กล่าวคำท้านายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล ให้เปิดชื่อคนมีสีที่กล่าวอ้างว่าไปเปิดโรงแรมรอ "แตงโม" หากมีตัวตนจริง ขอให้เปิดเผยชื่อออกมาเลย ยินดีมอบเงินให้ 1 ล้านบาท เป็นเดิมพัน แต่หากไม่มีตัวตนและไม่กล้าเปิดชื่อ ขอให้นายสันธนะ จ่ายเงินให้ตนเองแทน 1 ล้านบาท กล้าหรือไม่ เพราะตอนนี้มีความพยายามแตกประเด็น แทนที่แตงโมจะได้ขึ้นสวรรค์ แต่กลับมีคนไปกล่าวถึงในทางเสียหาย ซึ่งถือว่าไม่ใช่สุภาพบุรุษเลย

 

"แมน ๆ มา คุณเอามาล้านหนึ่ง ผมเอามาล้าน ถ้าคุณพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีคนอย่างที่คุณพูด คุณจ่ายผมมาล้านหนึ่ง แต่ถ้ามีจริง ผมจะจ่ายให้คุณล้านหนึ่งคุณสันธนะ ผมพร้อมตลอด"

 

นายสิระ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.พรรคไทยศรีวิไลย์ ออกมายืนยัน มั่นใจว่าภาพจากกล้องวงจรปิดที่ไปดูจากกรมเจ้าท่า พบภาพชาย 2 คนโยนแตงโมลงจากเรือ ว่า เรื่องนี้ต้องพิสูจน์กันและหากนายมงคลกิตติ์ มีข้อมูลจริงควรนำข้อมูลดังกล่าวไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ใช่มาออกสื่อและมโนเองว่าเป็นฆาตกรรม เพราะการจะโยนคนลงจากเรือ ไม่ใช่โยนกันง่าย ๆ และการออกมาพูดแบบนี้ เสมือนว่าทั้ง 5 คนบนเรือกลายเป็นฆาตกรแล้ว ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าทั้ง 5 คน ถูกหรือผิด ดังนั้น หาก 5 คนบนเรือยืนยันไม่ได้กระทำความผิดและอยากฟ้องกลับนายมงคลกิตติ์ ในฐานะเป็นเจ้าของสำนักกฎหมาย พร้อมที่จะให้การสนับสนุนส่งทนายไปให้ หากไม่ได้กระทำความผิดจริง

นายสิระ ยังกล่าวด้วยว่า นายมงคลกิตติ์ เป็นผู้แทนราษฎร ห้ามก้าวก่ายการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ สามารถยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความได้ ให้ระมัดระวังเรื่องนี้ด้วย แล้วการที่จะบอกว่ามีคนโยนลงมาจากเรือได้ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาต คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้หรือไม่ พร้อมยกตัวอย่าง ที่บอกว่า ใช้ที่เปิดไวน์ทำร้ายแตงโม ขอตั้งคำถามว่า ต้องทำร้ายกี่ครั้งถึงจะตาย

 

"ถ้าบอกว่าเอาที่เปิดไวน์แทงที่ขา ครั้งหนึ่งตาย ผมให้คุณมาแทงผม 10 ครั้งเลย ถ้าผมไม่ตายคุณจ่ายมาให้ผมล้านหนึ่งไหม ถ้าผมตายผมไม่เอาผิดด้วย"

 

นายสิระ ยังเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีพยานหลักฐานครบทุกด้านแล้ว ซึ่งการช่วยกันหาพยานหลักฐานถือเป็นความร่วมมือที่ดี แต่หากมาวิพากษ์วิจารณ์ทำให้เกิดความเสียหายในคดี ก็เสมือนเป็นการมาหาผลประโยชน์กับคนตาย