WHO เผยไม่มีประเทศใดในโลกผ่านเกณฑ์มาตรฐาน PM2.5 'บังคลาเทศ' มลพิษทางอากาศมากสุดในโลก ส่วน 'จีน' ดีขึ้นต่อเนื่อง
GOLDACH, สวิตเซอร์แลนด์, 23 มีนาคม 2565 - รายงานคุณภาพอากาศโลกปี 2564 จาก IQAir พบว่ามีเมืองเพียงร้อยละ 3 ทั่วโลกที่มีมีระดับคุณภาพอากาศผ่านเกณฑ์ค่าแนะนำคุณภาพอากาศล่าสุดขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในขณะที่ยังไม่มีประเทศใดในโลกที่ผ่านเกณฑ์ค่าแนะนำดังกล่าว รายงานฉบับนี้ได้วิเคราะห์ PM2.5 จากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศใน 6,476 เมือง จาก 117 ประเทศ ภูมิภาค และเขตแดน
รายงานคุณภาพอากาศโลกปี 2564 ของ IQAir ฉบับนี้เป็นครั้งแรกที่ใช้เกณฑ์ค่าแนะนำคุณภาพอากาศของ PM2.5 ฉบับปรับปรุงใหม่ซึ่งได้เผยแพร่ไปเมื่อเดือน ก.ย. 2564 ซึ่งได้ปรับค่าแนะนำของ PM2.5 เฉลี่ยรายปีจากเดิม 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเป็น 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือที่เรียกว่า PM2.5 เป็นที่ยอมรับว่าเป็นมลพิษทางอากาศที่อันตรายที่สุด มีการตรวจวัดอย่างกว้างขวาง และพบว่า PM2.5 เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น โรคหอบหืด โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ และโรคปอด นอกจากนี้ PM2.5 ยังเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชาชนนับล้านคนต่อปี
ข้อค้นพบหลัก
- ไม่มีประเทศใดผ่านหลักเกณฑ์ค่าแนะนำ PM 2.5 ฉบับปรับปรุงล่าสุดปี 2564 ของ WHO
- มีเฉพาะพื้นที่ในนิวแคลิโดเนีย หมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา และเปอร์โตริโกเท่านั้นที่ PM 2.5 มีปริมาณไม่เกินค่าแนะนำคุณภาพอากาศของ WHO
- มีเพียง 222 เมืองจาก 6,475 เมืองทั่วโลก ที่ปริมาณมลพิษอากาศไม่เกินค่าแนะนำคุณภาพอากาศ PM2.5 ของ WHO
- 93 เมือง มีปริมาณ PM2.5 เฉลี่ยรายปีมากกว่า 10 เท่าของค่าแนะคุณภาพอากาศ ของ WHO
- ในละตินอเมริกาและแคริบเบียน มีเพียง 12 เมือง (ร้อยละ 7) จาก 174 เมือง ที่ปริมาณ PM2.5 ต่ำกว่าค่าแนะนำคุณภาพอากาศของ WHO
- จาก 65 เมืองในแอฟริกา มีเพียงเมืองเดียว (ร้อยละ1.5) ที่ปริมาณ PM2.5 ต่ำกว่าค่าแนะนำคุณภาพอากาศของ WHO
- จาก 1,887 เมืองในเอเชีย มีเพียง 4 แห่ง (ร้อยละ 0.2 ) ที่ปริมาณ PM2.5 ต่ำกว่าค่าแนะนำคุณภาพอากาศของ WHO
-จาก 1,588 เมืองในยุโรป มีเพียง 55 เมือง (ร้อยละ 3 ) ที่ปริมาณ PM2.5 ต่ำกว่าค่าแนะนำ ของ WHO
-เนื้อหาในรายงานได้ครอบคลุมกว่า 2,408 เมืองในสหรัฐอเมริกาและพบว่าค่าเฉลี่ย PM2.5 เพิ่มขึ้นจาก 9.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เป็น 10.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในปี 2564 เมื่อเทียบกับปี 2563 ในขณะที่ลอสแองเจลิสเป็นเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในกลุ่มเมืองขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกา กลับพบว่ามลพิษ PM2.5 โดยรวมของเมืองนี้ลดลงร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับปี 2563
ทั้งนี้ ประเทศที่มีมลพิษทางอากาศมากที่สุด 5 อันดับแรกในปี 2564 ได้แก่ บังคลาเทศ ชาด ปากีสถาน ทาจิกิสถาน อินเดีย
นอกจากนี้ ยังพบว่า นิวเดลี (อินเดีย) เป็นเมืองหลวงที่มีมลพิษมากที่สุดในโลกติดต่อกันเป็นปีที่สี่ ตามด้วยธากา (บังกลาเทศ) เอ็นจาเมนา (ชาด) ดูชานเบ (ทาจิกิสถาน) และมัสกัต (โอมาน)
ส่วนคุณภาพอากาศในจีนดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2564 มีเมืองมากกว่าครึ่งในจีนในรายงานนี้มีระดับมลพิษทางอากาศต่ำกว่าปีก่อนหน้า ระดับมลพิษภายในเมืองหลวงของปักกิ่งยังคงเมีแนวโน้มคุณภาพอากาศที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากการควบคุมการปล่อยมลพิษและการลดกิจกรรมของโรงไฟฟ้าถ่านหิน และอุตสาหกรรมการปล่อยมลพิษสูงอื่น ๆ
เอเชียกลางและใต้มีคุณภาพอากาศที่แย่ที่สุดในโลกในปี 2564 และเป็นที่ตั้งของ 46 เมืองจาก 50 เมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก มีเพียงสองเมืองคือ Zhezqazghan และ Chu (คาซัคสถาน) ที่มีปริมาณPM2.5 ไม่เกินค่าแนะนำด้านคุณภาพอากาศของ WHO
การตรวจวัดคุณภาพอากาศยังคงมีน้อยในแอฟริกา อเมริกาใต้ และตะวันออกกลาง แม้ว่าเซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศมีราคาถูกลง ซึ่งการตรวจวัดคุณภาพอากาศมักจะดำเนินการโดยองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรและนักวิทยาศาสตร์พลเมือง
แฟรงค์ แฮมเมส ประธานบริหารของ IQAir กล่าวว่า ข้อเท็จจริงที่น่าตกใจคือไม่มีเมืองใหญ่หรือประเทศใดเลยที่มีอากาศที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพของประชาชนตามแนวทางค่าแนะนำคุณภาพอากาศล่าสุดขององค์การอนามัยโลก รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่าเรายังต้องทำงานอีกมากเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะมีอากาศที่ปลอดภัย สะอาด และดีต่อสุขภาพ ได้เวลาลงมือทำแล้ว
ด้าน อวินาช ชันชาล ผู้จัดการฝ่ายรณรงค์ กรีนพีซ อินเดีย กล่าวว่า เราเข้าใจดียิ่งขึ้นว่ามลพิษทางอากาศส่งผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจของเราอย่างไร รายงานฉบับนี้เป็นเหมือนการปลุกเราให้ตื่นขึ้นมาให้เห็นว่าผู้คนทั่วโลกไม่สามารถเข้าถึงอากาศสะอาด มลพิษทางอากาศ PM 2.5 เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง เช่น ถ่านหิน น้ำมันและก๊าซฟอสซิล การพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน และกิจกรรมการเกษตร การจัดการกับวิกฤตมลพิษทางอากาศจำเป็นต้องมีการพัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียนและระบบขนส่งสาธารณะที่ใช้พลังงานสะอาดและเข้าถึงได้ นอกจากนี้ การแก้ปัญหามลพิษทางอากาศยังเป็นการแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศอีกด้วย การได้หายใจอากาศสะอาดควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน ไม่ใช่อภิสิทธิ์