ทนายตั้มพาเหยื่ออีกรายแจ้งความคดีอดีต รองหน.พรรค ขืนใจ พร้อมมอบคลิปเสียง-ข้อความแช็ต เพื่อเป็นหลักฐาน พร้อมระบุเย็นวันนี้ยังมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความเพิ่มอีก 6 คน
วันที่ 18 เมษายน 2565 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม พาผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความ และเป็นพยาน ในคดีอนาจาร-ข่มขืน ของนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่สน.ลุมพินี โดยในช่วงแรกนายษิทราได้พาผู้เสียหายเข้ามาก่อน 1 คน โดยระบุว่า ผู้เสียหายรายดังกล่าวคือผู้ที่บันทึกคลิปเสียงการพูดคุยสนทนากับผู้ต้องหา ที่มีการเผยแพร่ไปก่อนหน้านี้ โดยพฤติการณ์ของผู้ต้องหาในคดีนี้ ในระหว่างพาตัวขึ้นไปพบพนักงานสอบสวน ผู้สื่อข่าวสังเกตว่า ผู้เสียหายมีอาการร้องไห้สะอึกสะอื้น ก่อนที่จะเดินตามทนายความขึ้นไปพบพนักงานสอบสวน
นายษิทราเปิดเผยว่า ผู้ที่พามาแจ้งความล่าสุดวันนี้เป็นผู้ที่อัดคลิปเสียงหลักฐานการพูดคุยกับผู้ก่อเหตุ ที่เคยปฏิเสธว่า ไม่ได้ก่อเหตุดังกล่าว โดยเหยื่อรายนี้ เคยถูกข่มขืนเมื่อปี 2563 แต่คาดว่ายังอยู่ในอายุความ เพราะมีการแก้ไขกฎหมายไม่ให้เป็นคดียอมความได้ ซึ่งในตอนแรกเหยื่อไม่ยอม จะไปแจ้งความตั้งแต่เกิดเรื่อง แต่กลัวจะดำเนินคดีไม่ได้ อีกทั้ง ผู้ก่อเหตุยังเสนอเงินมาให้เพื่อจบเรื่องไป 2-3 ครั้ง ซึ่งก็ได้รับไว้ เนื่องจากโดนข่มขู่ว่า พ่อผู้ก่อเหตุมีอำนาจมาก แต่ตอนนี้ไม่ได้รับเงินแล้ว
นายษิทรากล่าวยืนยันว่า ไม่กลัวการฟ้องร้องกลับ เพราะเหยื่อทุกคนมั่นใจให้ตนเองมาดำเนินคดี ถ้าตนเองกลัว คนอื่นก็จะเสียขวัญ แต่ยอมรับว่าสับสนเพราะเหยื่อเยอะ แต่พฤติการณ์ส่วนใหญ่คือ พาเหยื่อไปคุยที่ร้านอาหาร และพาไปขืนใจที่ห้อง แต่มีเหยื่อที่ถูกวางยาจะมาแจ้งความด้วย ส่วนอีกรายถูกกระทำที่ประเทศอังกฤษ จะเข้ามาเป็นพยานด้วยเช่นกัน
ส่วนเรื่องตำรวจยศพันตำรวจเอก จะให้เงินปิดปากเหยื่อนั้น ยังไม่มีข้อมูลมา แต่จากข้อมูลของตนเองพบว่าเป็นนายตำรวจยศพลตำรวจตรี ซึ่งเรื่องนี้ได้ให้ผู้ใหญ่ตรวจสอบแล้ว สำหรับเรื่องคลิปเสียงที่อ้างว่าเป็นขบวนการของพรรคการเมืองหนึ่ง ที่จะดิสเครดิตนั้น ยืนยันว่าไม่รู้จักกับคนในพรรคดังกล่าว และตนเองไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ถ้าจะกลั่นแกล้งทางการเมือง ตนเองจะไปทำคนที่มีโอกาสได้มากกว่า หากผู้ก่อเหตุพยายามบีบบังคับข่มขู่เหยื่อ ตนเองจะทำเรื่องถอนการประกันตัว ยืนยันว่าตอนนี้ยังไม่มีใครถอนแจ้งความ แต่บางคนไม่ให้ความร่วมมือต่อ อีกทั้งวานนี้เขาควรจะไปที่ศาลเพื่อทำเรื่องค้านการประกันตัวผู้ต้องหา แต่เขาไม่ไป ขอไม่ระบุว่าเป็นใคร แต่ให้ดูว่าใครยังสู้ และใครที่เงียบไป
ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อมูล ยังไม่พบว่ามีคนภายในพรรคที่ผู้ต้องหาเคยสังกัดอยู่เข้ามาให้การช่วยเหลือ แต่อยากเตือนไปถึงผู้ที่เตรียมให้การช่วยเหลือหรือกำลังให้การช่วยเหลืออยู่ในขณะนี้ หากพบว่าเป็นคนภายในพรรคการเมืองดังกล่าว ใครกล้าช่วย ใครช่วยก็บรรลัย ถ้าข่าวมาถึงตนเองว่า มีคนในพรรคนี้ไปพยายามติดต่อพูดคุยกับใครให้ช่วยเหลือทางคดี อยากจะบอกว่า ไม่มีใครช่วยอะไรได้ เพราะฉะนั้นหยุดพฤติกรรมเหล่านี้
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าผู้ต้องหามีประวัติอาการทางจิต และประสาทจนอาจจะมีผลต่อรูปคดีนั้น เชื่อว่าผู้ก่อเหตุไม่มีประวัติการรักษาอาการทางจิต แต่ไม่น่านำมาเป็นข้ออ้างในการต่อสู้คดี เพราะเขายังไปเป็นวิทยากรเวทีต่าง ๆ ได้ มีสติปกติดี เขาจะซื้อบริการก็ยังได้ แต่ดูว่ามีรสนิยมชอบคนที่ขัดขืน
นอกจากนี้ ยังขอชื่นชมตำรวจ สน.ลุมพินี ในส่วนของการทำคดีดังกล่าวพบว่า คดีมีความคืบหน้าไปมาก และมีการประสานกับตนเองตลอด ทั้งการเตรียมพนักงานสอบสวนผู้หญิงเพื่อสอบปากคำผู้เสียหาย และจะให้ผู้เสียหายที่มาแจ้งความทั้งหมดรวมเป็นสำนวนคดีเดียว จึงขอให้เชื่อมั่นในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้
ต่อมา 16.00 น. นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ยังคงพาผู้เสียหายรายที่ 2 ของวันนี้เข้าแจ้งความกับตำรวจในข้อหากระทำอนาจาร ซึ่งรวมแล้วเป็นผู้เสียหายคนที่ 7 ที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์นายปริญญ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคฯ
นายษิทรากล่าวว่า สำหรับผู้เสียหายรายที่ 7 นี้โดนลวนลามบนรถ ทั้งจับมือ แขน และขา พร้อมพูดจาแทะโลมส่อไปในเรื่องเพศ โดยระบุว่า เหตุเกิดเมื่อปี 2562 ช่วงที่เป็นนักศึกษาฝึกงาน ซึ่งเหตุการณ์คล้ายกับผู้เสียหายรายอื่น ๆ โดยจะแจ้งความนายปริญญ์ ในข้อหากระทำอนาจารฯ
ส่วนก่อนหน้านี้ผู้เสียหาย คนที่ 6 ที่ถูกข่มขืน ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนในวันนี้แล้ว แต่ในตอนแรกผู้เสียหายรายนี้ตั้งใจจะมาในฐานะพยาน เพื่อทำการยื่นหลักฐานเป็นคลิปเสียง และหลักฐานบทสนทนากับนายปริญญ์เท่านั้น ไม่ได้จะมาแจ้งความนายปริญญ์ เนื่องจากมีการรับสิ่งตอนแทนมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่จากการเข้าให้ปากคำ พฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหา เข้าข่ายความผิดอาญาแผ่นดิน ซึ่งยอมความไม่ได้ ด้านตำรวจจึงเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษกับนายปริญญ์เองตามกฎหมาย