เพื่อนช่วยเพื่อน! ดอดใช้กุญเเจสำรองขโมย จยย.คืนหนุ่มเขมร หลังก่อนหน้าถูกยึดของกลางไว้ ข้อหาดัดเเปลงตัวรถ-ท่อเสียงดัง เบื้องต้น ตร.ควบคุมตัวดำเนินคดี ส่วนชาวไทยที่ช่วยเหลือยังหลบหนี
วันที่ 20 เม.ย. 2565 พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.สส.ภ.จว.ระยอง พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สส.ภ.จว.ระยองและ ด.ต.ยุทธนา ปาริกวงศ์ษาชาติ ผบ.หมู่จราจร สภ.เมืองระยองนำกำลังร่วมเดินทางเข้าจับกุมนายติดแสน อายุ 22 ปี สัญชาติกัมพูชา พร้อมรถจยย.ยี่ห้อฮอนด้า CBR650R สีแดง ได้ที่โรงงานแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง
สืบเนื่องจากเมื่อในวันที่ 17 เม.ย.2565 เวลา 13.00 น. ด.ต.ยุทธนา ปาริกวงศ์ชาติ ผบ.หมู่ จราจร สภ.เมือง ระยอง ได้จับกุมนายติดแสน พร้อมรถจยย. ในข้อหาดัดแปลงตัวรถ ท่อเสียงดัง บริเวณแยกสี่แยกหนองสนม ถ.สุขุมวิท ต.ทับมา อ.เมือง จ.ระยอง และได้ยึดรถไว้ตามขั้นตอนของกฎหมาย จากนั้นได้นำไปจอดไว้ด้านหน้า สภ.เมืองระยองภายในจุดเก็บรถของกลาง
ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น รถจยย.ของกลางหาย เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินตรวจสอบทั่วบริเวณก็ไม่พบ จึงสันนิษฐานว่า นายติดแสน สัญชาติกัมพูชา เป็นคนขโมยรถจยย.ของกลางหนีไป จึงมีการประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมือง ระยอง และ ตำรวจสืบสวน ภ.จว.ระยอง ติดตามตัวและรถจยย.ของกลางทันที จนมาพบว่า รถจยย.คันดังกล่าว จอดไว้ในโรงงาน จึงควบคุมตัวพร้อมรถจยย.ของกลาง มาส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี
จากการสอบสวน นายติดแสน ผู้ต้องหา ให้การว่า หลังจากถูกจับ มีเงินไม่พอเสียค่าปรับ จึงให้ตำรวจจราจรยึดรถจยย.ไว้ แล้วตัวเองกับภรรยา นั่งรถประจำทางกลับบ้านพัก จากนั้นได้โทรปรึกษานายกล้า เพื่อนคนไทยที่รักใคร่ สนิทสนม ให้ช่วยเหลือ
นายกล้า เสนอตัวช่วยเหลือ โดยการขอเอากุญแจสำรองของรถจยย.ของตนเองที่เก็บไว้ภายในห้องพัก เพื่อจะไปเอารถมาคืนให้ โดยนายกล้าได้แอบย่องไปช่วงกลางดึก ก่อนใช้ลูกกุญแจสำรองสตาร์ทเอารถจยย.มาให้ โดยที่ไม่รู้ว่าจะผิดกฎหมาย เพราะนายกล้าแนะนำและบอกว่าไม่ผิด แล้วตนเองก็นำรถมาจอดไว้ในห้อง พอตอนเช้าก็ขี่ออกไปทำงานตามปกติจอดไว้ในโรงงาน จนกระทั่งมาถูกจับกุม ส่วนนายกล้าไม่ทราบชื่อจริงและนามสกุล หลบหนีไปก่อนแล้ว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัว พร้อมยึดรถจยย.ของกลาง โดยดำเนินคดี กับนายติดแสน ส่วนนายกล้า ที่ยังหลบหนีอยู่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนเร่งไล่ล่าตัวคาดว่ายังหลบหนีซ่อนตัวอยู่ในเขตพื้นที่ อ.นิคมพัฒนา จ.ระยองเพื่อนำตัวมาดำเนินคดี ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ในมาตรา 142 ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์สินหรือเอกสารใดๆอันเจ้าพนักงานได้ยึด รักษาไว้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ