'ทนายตั้ม' เปิดข้อมูลเพิ่ม 'ไฮโซ' ผู้เสียหายรายที่ 15 ถูกลวนลาม เมื่อปี 51 ระบุล่าสุด มีบางคนติดต่อไม่ได้ หลัง ตร.ยศนายพล ได้พูดคุย

 

วันที่ 20 เม.ย. 2565 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ 'ทนายตั้ม' เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เปิดเผยถึงผู้เสียหายรายล่าสุด ซึ่งเป็นรายที่ 15 ว่าผู้เสียหายเป็นไฮโซตระกูลใหญ่ แต่ไม่มีความประสงค์ที่ออกมาเปิดเผยตัวตน โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2551 ผู้เสียหายรู้จักกับผู้ก่อเหตุได้ประมาณเพียง 4-5 เดือน และฝ่ายชายได้ทักไอจีไปพูดคุยด้วย ทำทีท่าออกมาหา ก่อนที่ผู้เสียหายและเพื่อน จะถูกล่อลวงไปที่ห้องคอนโด และก่อเหตุลวนลาม จูบ แต่ไม่ถึงขั้นข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งผู้เสียหายรายที่ 15 ถือว่าเป็นพยานให้การกับในหลาย ๆ คดีถึงพฤติกรรมดังกล่าว แต่ไม่ได้แจ้งความดำเนินคดี

ส่วนประเด็นที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ออกมาแถลงข่าว และหัวหน้าพรรคได้ประกาศลาออกจาก 2 คณะกรรมการฯ พร้อมตั้งกรรมการตรวจสอบอดีตรองหัวหน้าพรรค ผู้ก่อเหตุรายนี้ นายษิทรา กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่รู้ว่าจะตรวจสอบได้มากแค่ไหน เพราะเชื่อว่าไม่มีอำนาจในการตรวจสอบ และการตรวจสอบถือว่าช้าเกินไป แต่เชื่อว่าทางพรรคน่าจะรู้ประวัติของผู้ก่อเหตุรายนี้มาก่อน เพราะผู้ก่อเหตุชอบใช้ตำแหน่งทางการเมือง และเอาอำนาจชื่อเสียงของพ่อไปหลอกผู้หญิง

ส่วนประเด็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ลาออกจาก 2 คณะกรรมการฯ ก็คิดว่าน่าจะถูกสังคมกดดัน จึงได้แถลงลาออกและออกมาขอโทษแสดงความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าพรรค

ทนายษิทรา กล่าวถึงความคืบหน้าทางคดี เท่าที่ทราบยังไม่มีการส่งฟ้อง และผู้เสียหายยังคงเข้ามาให้การเรื่อย ๆ จึงคิดว่าต้องใช้เวลาพอสมควร เบื้องต้นได้กันไว้เป็นพยาน 3 จากใน 12 คนที่ถูกข่มขืนและอนาจาร

ทั้งนี้ ผู้เสียหายที่ขาดการติดต่อไปแล้ว ตอนนี้มี 2 รายที่ถูกข่มขืน ขาดการติดต่อไปเลย และอีก 1 เคส เป็นผู้เสียหายรายแรก อายุ 18 ปี ซึ่งเป็นรายที่เกิดเหตุล่าสุด และมีพยานหลักฐานครบ จนตำรวจสามารถออกหมายจับผู้ก่อเหตุได้ แต่ล่าสุดผ่านไป 1 สัปดาห์ ไม่สามารถติดต่อพูดคุยกับคุณแม่ของน้องผู้เสียหายได้ และทราบมาว่ามีนายตำรวจยศนายพล อ้างตัวว่ารู้จักกับญาติผู้เสียหาย บอกว่า หากจะพูดคุยติดต่ออะไร ต้องผ่านนายพลคนนี้ก่อน รวมถึงสั่งห้ามไม่ให้พูดคุยหรือให้ข้อมูลอะไร ทำให้ในช่วงการฝากขัง มีอุปสรรคและกระทบต่อคดี เนื่องจากได้ติดต่อไปหาทางผู้เสียหาย ให้มายื่นคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา หรือให้ทำหนังสือมอบฉันทะมาให้ดำเนินการ แต่ปรากฎว่าก็ไม่ได้รับความร่วมมือ

ทนายษิทรา ยังกล่าวยอมรับว่า กังวล 15 คดี ที่เข้าแจ้งความ หากเวลาแปรเปลี่ยนขึ้นหรือสำนวนถูกส่งไปยังอัยการและชั้นศาลฯ อาจจะมีใครกลับคำให้การหรือไม่ และจะทำให้เสียประโยชน์กลับผู้เสียหายทั้ง 15 รายนี้ เพราะอิงจากเคสผู้เสียหายรายแรก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของคดี และคดียังไม่หมดอายุความ รวมถึงมีพยานหลักฐานครบ แต่กลับเริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป

ส่วนตัวมั่นใจว่าจากพฤติกรรมที่ผ่านมา และหลักฐานกล้องวงจรปิดที่มี สามารถโน้มน้าวให้ศาลเชื่อว่าเขากระทำผิดจริง

ในส่วนของคดีอดีตรองหัวหน้าพรรค ยอมรับก็มีผู้ใหญ่ที่สนิท และหัวหน้าพรรคการเมืองดังกล่าว เข้ามาเตือน แต่ไม่ได้ข่มขู่ และบอกเพียงว่า “ให้ระวังพรรคการเมืองโต้กลับ” ซึ่งก็ทำให้การตรวจสอบเคสผู้เสียหายที่เข้ามาให้ข้อมูลหลังจากนี้ ต้องละเอียดรอบคอบมากขึ้น เพราะกลัวว่าจะมีคนแอบแฝงตัวสวมรอยเป็นผู้เสียหายเข้ามาสร้างสถานการณ์ กลายเป็นเกมการเมือง