"นายกฯ" ประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบส่งเสริมลงทุนกว่า 2 แสนล้าน เพิ่มสิทธิประโยชน์จูงใจลงทุนผลิตแบตเตอรี่-นิคมอัจฉริยะ เดินหน้ารถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน พร้อมยกระดับนิคมเดิม เพิ่มสิทธิประโยชน์ถือครองที่ดินดึงลงทุนต่างชาติ
วันที่ 13 มิ.ย. 2565 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ครั้งที่ 3/2565 (ผ่านระบบ Video Conference) โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณคณะกรรมการทุกคน รวมทั้งบีโอไอที่ร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินการต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งหลายเรื่องมีความก้าวหน้าโดยลำดับทั้งเรื่องการขับเคลื่อนการลงทุนใหม่ ๆ ในประเทศไทยซึ่งมียอดการลงทุนจำนวนมากพอสมควร ทั้งนี้ หากทุกคนร่วมมือกันและหาวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสม เชื่อมั่นว่าทุกอย่างสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการปรับปรุงประเภทกิจการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ว่า ให้ดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะการสร้างห่วงโซ่การผลิตในประเทศไทยให้มากที่สุด รวมถึงการสร้างระบบ ecosystem พร้อมย้ำถึงการปรับปรุงสิทธิและประโยชน์ตามมาตรา 30 ของประเภทกิจการผลิตแบตเตอรี่ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้และการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยขณะนี้รัฐบาลกำลังเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันในการผลิตรถไฟฟ้าพร้อมส่วนประกอบต่าง ๆ ในประเทศไทย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของต้นทุนการผลิตรถไฟฟ้า เช่น ตัวถัง มอเตอร์ แบตเตอรี่ ฯลฯ โดยให้ดำเนินการตั้งแต่ต้นทางอย่างครบวงจร ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้คนใช้รถไฟฟ้าได้มากขึ้น รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนต่าง ๆ อย่างครบวงจรในประเทศ ตลอดจนการพัฒนาสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าและการบริหารจัดการแบตเตอรี่อย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ รองรับรถไฟฟ้าด้วย โดยขอให้ทุกคนร่วมมือกันดำเนินการให้เกิดผลสำเร็จให้ได้ตามเป้าหมาย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำให้บีโอไอและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส จากความขัดแย้งของยูเครน-รัสเซีย ที่ส่งผลให้เกิดการย้ายฐานสำนักงานภูมิภาคของหลายประเทศเข้ามาอยู่ในภูมิภาคนี้ โดยให้มีการเตรียมการและทำงานเชิงรุก รองรับอุตสาหกรรมทางด้านการย้ายฐานสำนักงานภูมิภาคอุตสาหกรรม การดึงดูดคนรุ่นใหม่ เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศไทย รวมไปถึงการดำเนินการให้สอดรับกับ VUCA World ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน พร้อมย้ำให้มีการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ถึงผลการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกิดผลสัมฤทธิ์ของรัฐบาล ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ เผยแพร่ข้อมูลที่สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงและทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
สำหรับมติที่ประชุมบอร์ดบีโอไอที่สำคัญมีดังนี้
ที่ประชุมมีมติอนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ รวมมูลค่า 209,478 ล้านบาท ได้แก่ กิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ของบริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด มูลค่า 36,100 ล้านบาท โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ของบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด มูลค่า 162,318 ล้านบาท กิจการผลิตเส้นใยและกิจการผลิตผ้าที่มีคุณสมบัติพิเศษของกลุ่มบริษัท คิงบอร์ด โฮลดิ้งส์ มูลค่ารวม 8,230 ล้านบาท และการขยายกิจการผลิตไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชั่น ของบริษัท ไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ จำกัด มูลค่า 2,830 ล้านบาท สำหรับโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนครั้งนี้ เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ สนับสนุนให้เกิดการลงทุนสาธารณูปโภคที่สำคัญในพื้นที่อีอีซี รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเป็นฐานผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และโครงการผลิตวัตถุดิบต้นน้ำสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะก่อให้เกิดการลงทุนใหม่ ๆ ที่มีการจ้างงานเป็นจำนวนมาก และมีผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไป
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบเพิ่มสิทธิประโยชน์เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนผลิตแบตเตอรี่ยานพาหนะไฟฟ้า (อีวี) ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ (BATTERY CELL) ระดับโมดูล (BATTERY MODULE) และกิจการผลิตแบตเตอรี่ที่มีความจุสูง (HIGH ENERGY DENSITY BATTERY) โดยเพิ่มระยะเวลาการให้สิทธิและประโยชน์ลดหย่อนอากรขาเข้าวัตถุดิบและวัสดุจำเป็น ในกรณีที่ผลิตจำหน่ายในประเทศ จาก 2 ปี เป็น 5 ปี ทั้งนี้ กรณีโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมและได้รับอนุมัติไปแล้ว สามารถแก้ไขโครงการเพื่อขอรับสิทธิประโยชน์ใหม่นี้ได้เช่นกัน ทั้งนี้ ปัจจุบัน มีโครงการได้รับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ในกิจการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานพาหนะไฟฟ้า จำนวน 16 โครงการจาก 10 บริษัท รวมเงินลงทุน 4,820 ล้านบาท และมีโครงการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตแบตเตอรี่ที่มีความจุสูง (HIGH ENERGY DENSITY BATTERY) รวม 3 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 6,746.1 ล้านบาท
ที่ประชุมยังได้เห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุนกิจการนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมอัจฉริยะ โดยต้องจัดให้มีบริการระบบอัจฉริยะ 5 ด้าน ได้แก่ Smart Facilities, Smart IT, Smart Energy, Smart Economy และบริการระบบอัจฉริยะด้านอื่น ๆ อย่างน้อยอีก 1 ใน 3 ด้าน ดังนี้ Smart Good Corporate Governance, Smart Living และ Smart Workforce พร้อมทั้งยกเลิกเงื่อนไขห้ามตั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ นอกจากนี้ โครงการที่ได้รับการส่งเสริมอยู่เดิม ทั้งที่สิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้ยังไม่สิ้นสุดและสิ้นสุดแล้ว และโครงการที่ไม่เคยได้รับการส่งเสริม ก็สามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมหรือขอรับการส่งเสริมเพื่อยกระดับเป็นนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมอัจฉริยะได้เช่นกัน รวมทั้งเปิดให้การส่งเสริมการลงทุนในกิจการพัฒนาระบบอัจฉริยะสำหรับนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมอัจฉริยะ เพื่อช่วยยกระดับการพัฒนานิคมหรือเขตอุตสาหกรรม ไปสู่การเป็นนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมอัจฉริยะ โดยได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี หากตั้งอยู่ในพื้นที่ EEC จะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 5 ปี เพิ่มเติม
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติและอำนวยความสะดวกในการประกอบกิจการในประเทศไทย บีโอไอได้กำหนดให้นิติบุคคลต่างด้าวที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนที่มีทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้วไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท โดยถือครองที่ดินเป็นที่ตั้งสำนักงานของกิจการได้ไม่เกิน 5 ไร่ ที่ดินเป็นที่พักอาศัยสำหรับผู้บริหารผู้ชำนาญการต่างชาติได้ไม่เกิน 10 ไร่ และที่ดินเป็นที่พักอาศัยของคนงานได้ไม่เกิน 20 ไร่ หากหมดสภาพการเป็นผู้ได้รับการส่งเสริมจะต้องจำหน่ายหรือโอนที่ดินภายใน 1 ปี ทั้งนี้ ให้สำนักงานออกประกาศหลักเกณฑ์เพิ่มเติมตามความเหมาะสม