"อิงฟ้า วราหะ" เผยอาการคู่จิ้น "ชาล็อต ออสติน" ป่วยกะทันหัน แต่ใจสู้จนจบงาน เล่าความรู้สึกสร้างตำนานสนามบินแตก และพร้อมเป็นกระบอกเสียงให้กลุ่ม LGBTQ+

 

เดินหน้าโกยเงินล้านรับงานพรีเซนเตอร์รัว ๆ  สำหรับนางงามสุดฮอต "อิงฟ้า วราหะ" มิสแกรนด์ไทยแลนด์2022 และ "ชาล็อต ออสติน" แถมยังเป็นขวัญใจกลุ่ม LGBTQ+ ล่าสุดกลายเป็นคู่จิ้นสนามบินแตก หลังจากไปประเทศเวียดนามด้วยกัน แล้วมีเหล่าแฟนคลับแห่มาต้อนรับเป็นร้อย ทั้งคู่จะรู้สึกอย่างไร วันนี้เรามีโอกาสได้เจอทั้งคู่ออกงานร่วมกันเดี๋ยวไปฟังสัมภาษณ์กัน
อัปเดตอาการ "ชาล็อต" หลังป่วยกะทันหันกลางงานเลย?
-ก็แอบเป็นห่วงค่ะ เพราะว่าจริง ๆ น้องเขาก็ป่วยมาประมาณ 2 วันได้แล้ว แต่เนื่องด้วยงาน สปิริตเขาก็สู้ ใจเขาก็สู้จนถึงจบงาน ก็ถือว่าเก่งมากๆ (น้องเป็นอะไร) ติดเชื้อในลำไส้ค่ะ เกิดมาจากอาหารที่ทาน จริง ๆ (สังเกตอาการได้ตอนไหน) ตอนช่วงร้องเพลงบนเวที ก็ยังไม่มีอาการเท่าไหร่ แต่ช่วงเล่นเกมหลัง ๆ ก็เริ่มจะเห็นอาการแล้ว คือคุณหมอไม่ได้สั่งให้พัก แต่ให้ดูในเรื่องของอาหารการกิน แล้วก็ให้ทานยาแก้ติดเชื้อต่อเนื่องค่ะ จริงๆ ทุกคนรวมทั้งบอส ทั้งกอง ก็ถามว่าน้องไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวก็สามารถแจ้งได้ แต่น้องก็ใจสู้ว่าไหว เดี๋ยวคงมาอัปเดตอาการน้องอีกที

ล่าสุดสร้างตำนานสนามบินแตกที่เวียดนามเป็นไงบ้าง?
-ก็มีน้ำตาแตกเหมือนกันค่ะ ไม่ได้คิดว่าจะเยอะขนาดนั้น คิดว่าน่าจะประมาณ 20-30 แต่ ณ ตอนนั้นคือเยอะมาก น่าจะหลายร้อยคน เขาก็ตะโกนชื่อพวกเรา ก็ดีใจค่ะ ตอนที่เราทำกิจกรรมเขาก็มาดูอยู่ห่างๆ มีขับรถตามด้วย แบบเขียนภาษาไทยใส่กระดาษก็มี มันเป็นโมเมนต์ที่น่ารักมาก ๆ ไม่คิดว่าจะมาไกลได้มากขนาดนี้ เหมือนเขาชอบเพราะว่าบ้านเขาไม่ได้สนับสนุนเรื่อง LGBTQ+ มากสักเท่าไหร่ พอเห็นเราเป็นนางงามด้วย เพราะคนที่เวียดนามเขาก็ชอบดูนางงามอยู่แล้ว แล้วเห็นว่าเราเป็นตัวแทนของกลุ่ม LGBTQ+ เขาเลยรู้สึกภูมิใจอยากสนับสนุน ก็ใจฟูมากค่ะ

ได้ใส่ชุดและเรียนรู้วัฒนธรรมบ้านเขาด้วยรู้สึกอย่างไรบ้าง?
-กิจกรรมแน่นมากค่ะ บอสบอกไปเที่ยว (หัวเราะ) การต้อนรับก็ exclusive หลายอย่างค่ะ ทั้งอาหารการกิน แล้วก็สถานที่ท่องเที่ยวหลายที่ ไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์บ้านเขา ก็แฮปปี้กับทริปนี้มากๆ ประทับใจหลายอย่าง ชอบเพื่อนๆ นางงามบ้านเขาที่มาร่วมกิจกรรมด้วยกัน ทุกคนน่ารักมาก ชอบสถานที่ที่ไปเที่ยว ไปทานอาหาร มีได้เรียนภาษาเวียดนามด้วย 2-3 ประโยค

ได้ใส่ชุดเเละเรียนรู้วัฒนธรรมบ้านเขาด้วยรู้สึกยังไงบ้าง?
-เป็นชุดห้องเสื้อที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนามค่ะ ชุดหนักมาก เฉพาะหัวประมาณ 10 กว่ากิโล ตัวอีก 30 กว่ากิโล มันหนักมากจริง ๆ แต่ภาพตอนที่เราเดินมันสวยจนดีใจที่ได้ใส่ เป็นเกียรติมาก ชุดที่เราใส่น่าจะประมาณล้านกว่าบาท ของน้อง ๆ ก็ 4-5 แสนทั้งหมดค่ะ

เตรียมเดินสายอีกหลายประเทศเลย มีคอนเฟิร์มมาเยอะไหม?
-เดือนหน้าไปลาวค่ะ อันดับแรกก็เตรียมตัวเรื่องภาษา แต่น่าจะมีอีกหลายประเทศที่ต้องไป แต่เรื่องคอนเฟิร์มนี่เราไม่แน่ใจ ต้องถามบอสอีกที แต่รู้ว่ามีหลายประเทศ คือ #อิงล็อต ไปไกลมาก เม็กซิโก ลาว เวียดนาม อินโดนีเซีย อเมริกา บราซิล (เตรียมสนามบินแตกทุกที่หรือเปล่า) ไม่กล้าคาดหวังเลยค่ะ แค่มีคนมารับก็ดีใจแล้ว จะมากจะน้อยก็ไม่เป็นไร

แล้วทำงานเยอะ กลัวมีเวลาเตรียมตัวไปประกวดระดับอินเตอร์จะทันไหม?
-อย่างที่แจ้งไปว่าหลังจากจบคอนเสิร์ตเดี่ยววันที่ 6 สิงหาคมนี้ เราก็จะเบรกงานไป จริงๆ เดือนหน้าก็จะเริ่มจางๆ แล้ว เพราะว่าต้องเตรียมคอนเสิร์ต หลังจากคอนเสิร์ตก็ต้องไปอินโดนีเซีย ก็มี 3-4 เดือน ที่จะได้เตรียมตัว เพราะตอนเราประกวดมิสแกรนด์กรุงเทพมหานคร เตรียมตัวเดือนเดียวเอง เราว่ามันอยู่ที่ใจ ถ้ามีเวลาซ้อมเยอะแต่ใจไม่ได้ เตรียมไปก็เท่านั้น แต่ถ้าใจมันมุ่งมั่น แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็สามารถทำได้

หลายประเทศเริ่มได้ตัวแทนเเล้ว แอบเห็นคู่แข่งบ้างหรือยัง?
-ได้เห็นคู่แข่งหลาย ๆ ประเทศแล้ว ก็ดูแล้วก็ศึกษาค่ะ เรื่องภาษาก็มีให้น้องๆ ช่วยฝึกบ้าง บางทีก็คุยกันเป็นภาษาอังกฤษ

ออกงานทุกวันแบบนี้ ฟันรายได้แตะ 20 ล้านแล้วหรือยัง?
-ก็ได้อยู่ค่ะ พอสมควร (หัวเราะ) แต่แม่คือลอยลำแล้ว ไม่ต้องทำอะไร ร้องเพลงอย่างเดียวแล้วก็ดูบ้าน (ถึง 10 ล้านหรือยัง ในส่วนของเรา) ยังไม่ได้เห็นทั้งหมดค่ะ เราจะเห็นเป็นรายเดือน ยังไม่ถึง 10 ล้าน แต่ถ้าองค์รวมทั้งหมดตอนนี้ อย่างที่บอสแจ้งไป ก็น่าจะแตะ 20 ล้านแล้ว

เป้าหมายต่อไป คือเหมือนเตรียมซื้อบ้านซื้อรถให้ตัวเองใช่ไหม?
-คือเรายังขับรถไม่เป็น (หัวเราะ) แล้วก็ยังไม่มีเวลาไปเรียน ก็อาจจะต้องดูกันอีกทีหนึ่ง แต่ว่าน่าจะเร็วๆ นี้ เพราะมันต้องมีเนาะ เพื่อการการมาทำงาน ส่วนเรื่องบ้านตอนนี้โฟกัสที่บ้านแม่ให้เรียบร้อยก่อน บ้านตัวเองเดี๋ยวค่อยว่ากัน อาจจะเป็นคอนโดก่อนเพื่อความสะดวก เพราะบ้านแม่ก็เหลือลงเฟอร์นิเจอร์ค่ะ เป็นบ้านหลังเล็กๆ บ้านที่ค่อยๆ สร้างมาค่ะ เพิ่งเสร็จตอนเราประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์เลย แต่ว่ายังไม่ได้ลงดีเทลแต่งบ้าน คือสร้างมาก่อนประกวดแล้ว ค่อยๆ เติมมาเรื่อยๆ ตามจำนวนเงินที่เรามี

แต่ได้กลับไปดูบ้านเช่า 400 บาท ในอดีตของเราด้วย เพราะอะไร?
-จริง ๆ ไม่ได้กลับไปเห็นครั้งแรกหรอก กลับไปเห็นหลายครั้งแล้ว ชอบไปดูอยากรู้ว่าปัจจุบันเป็นยังไงบ้าง เราอยากให้แฟนคลับเห็นว่าสิ่งที่เราพูดมันเป็นเรื่องจริง ให้เขาได้สัมผัสไปกับเรา อย่างน้อยมันเป็นกำลังใจให้คนที่เขากำลังลำบากอยู่ จะได้รู้ว่าอนาคตข้างหน้า คุณอาจจะประสบความสำเร็จแบบเราก็ได้ อย่าไปท้อกับมัน

มีน้ำตาคลอไหม พอกลับไปเห็นความทรงจำเก่า?
-ความทรงจำตรงนั้นมันเยอะมากจริงๆ ค่ะ (น้ำตาคลอ) พูดแล้วเซนซิทีฟอะ (หัวเราะ) ไม่ได้คิดว่ามันลำบาก แต่ถ้ามองกลับไป ถึงความเป็นอยู่ตอนนั้น ก็คงเรียกว่าลำบาก เพราะช่วงตอนเด็กมันมีแต่ความอบอุ่น เป็นวัยที่เราได้อยู่กับครอบครัวจริงๆ ถ้าเราจำไม่ผิดน่าจะเดือนละ 400-600 นะ ทำงานกันหามรุ่งหามค่ำเลย ก็สงสารพ่อกับแม่เวลาที่ต้องออกไปขายของข้างนอก เข็นจากบ้านไปวัด เราก็จะเห็นถึงความลำบาก มันถึงทำให้เรามีแรงผลักดัน กระตือรือร้นในการที่จะทำให้เขาสบายขึ้น สภาพบ้านยังอยู่เหมือนเดิม ไม่แน่ใจว่าก่อนหน้านี้มีคนมาอยู่หรือเปล่า แต่ทุกอย่างมันยังเหมือนเดิมหมดเลย แม้กระทั่งโซ่ที่ใช้คล้อง มีข้อความที่เขียนไว้หน้าประตู เรายังคิดอยู่เลยว่าเราเขียนหรือเปล่า แต่จำไม่ได้ แต่ข้างบ้านที่เป็นสติกเกอร์ เราเขียนเอง มันก็ยังอยู่

ถ้ามองย้อนกลับไป ภูมิใจในตัวเองมากไหมตอนนี้?
-มาก ๆ ค่ะ แล้วมันอยู่ไม่ไกลกันด้วย ตัวแม่เองเขาก็ดีใจที่มีบ้านเป็นของตัวเองสักที ก็ภูมิใจมากๆ ด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของเรา

พูดถึงการที่เราได้เป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่ม LGBTQ และ "สมรมเท่าเทียม" เป็นไงบ้าง?
-ตอนแรกที่ทราบว่าโดนปัดตกก็เฟล ไม่ผ่านอีกแล้ว แต่พอได้ติดตามข่าวว่ามันผ่านมาอีกขั้นแล้ว ก็มีน้ำตาแตกเหมือนกัน เพราะเราดูภาพบรรยากาศที่คนเขาร้องไห้ดีใจกัน เราก็อินไปด้วย อย่างน้อยเราก็เป็นเสียงหนึ่ง ที่พยายามเป็นกระบอกเสียงมาตลอด เกี่ยวกับเรื่องของ LGBTQ+ เรื่องสิทธิ์ที่เขาควรจะได้รับ ก็ดีใจมากค่ะ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง แต่คิดว่ามันยังได้มากกว่านี้ แต่ก็เข้าใจว่าบางอย่างมันก็ต้องใช้เวลาด้วย แต่อย่างน้อยได้เห็นการยอมรับมากขึ้นก็โอเค

คนชมว่าเราเหมือนเป็นคนเปิดเรื่องนี้ให้คนเข้าใจมากขึ้น?
-ก็ดีใจนะคะ เพราะว่าหนูมาอยู่ตรงนี้ก็โดนดรามาเยอะเหลือเกิน คนว่าก็เยอะ คนให้กำลังใจก็เยอะ อย่างน้อยมันพิสูจน์ทำให้หลายๆ คนเห็นว่าสิ่งที่เราทำตรงนี้ มันไม่ได้ให้ตัวเองคนเดียว มันเพื่อทุกคนแหละ โดยเฉพาะ LGBTQ

อยากจะบอกอะไรไหม หลังจากนี้ต่อไป?
-จริง ๆ อย่าใช้คำว่าเรียกร้องเลย เขามาทวงคืนมากกว่า ในสิ่งที่เขาควรจะได้รับ ก็เป็นกำลังใจให้ค่ะ เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดของ LGBTQ มันคือการยอมรับ อย่างน้อยขอให้รักกันเองก่อน อย่าเพิ่งบุลลีกันเอง อย่าเพิ่งเหยียดกันเอง ถ้ากลุ่ม LGBTQ แข็งแรงมากพอ ไม่ว่าจะเจอปัญหาหรือไปเรียกร้องทวงคืนสิทธิอะไร มันจะไม่ใช่ปัญหาเลย ก็เป็นกำลังใจให้ค่ะ