ศาลเเพ่ง สั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ 3.8 ล้าน เหยื่อคดี 7 ตำรวจ ใช้ถุงคลุมหัวซ้อมโหดให้รับสารภาพ เผยคำพิพากษาผู้เสียหายยังได้รับผลกระทบทางจิตใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ อ่านคำพิพากษาในคดีที่นายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร เหยื่อซ้อมทรมาน เป็นโจทก์ ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จำเลย ชดเชยค่าเสียหายจำนวน 13 ล้านบาท ให้แก่นายฤทธิรงค์ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อมทรมานคลุมถุงดำและทำร้ายร่างกายเพื่อให้รับสารภาพ ขณะมีอายุเพียง 18 ปี เท่านั้น คดีนี้สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 นายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัด จับกุมและซ้อมทรมานทำร้ายร่างกาย โดยมีการใช้ถุงดำคลุมศีรษะให้ขาดอากาศหายใจ เพื่อบังคับให้รับสารภาพในคดีวิ่งราวทรัพย์
จากการสืบสวนในภายหลังพบว่าเป็นการจับผิดคน ต่อมา เมื่อปี 2558 นายฤทธิรงค์จึงได้ฟ้องดำเนินคดีอาญาต่อเจ้าหน้าที่ผู้กระทำความผิดในกรณีดังกล่าวรวม 7 นาย โดยในคดีนี้ ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถือว่าถึงที่สุดว่า พ.ต.ท.วชิรพันธ์ (สงวนนามสกุล) จำเลยที่ 3 กระทำความผิดจริง ตามประมวลอาญา มาตรา 157, 200 วรรคสอง, 295, 296, 309, 310 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 83 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จึงลงโทษฐาน “เป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีอาญา กระทำการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษ” ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด โดยลงโทษจำคุก 2 ปี และปรับ 12,000 บาท แต่ศาลลดโทษให้โดยเห็นว่าคำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 1 ปี 4 เดือน และปรับ 8,000 บาท
เมื่อคำนึงถึงประวัติ อาชีพ และสภาพความผิดแล้ว และไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัว กล่าวคือรอลงอาญาไว้เป็นเวลา 2 ปี
ต่อมา นายฤทธิรงค์ ชื่นจิตร จึงได้ฟ้องร้องดำเนินคดีแพ่งต่อตร.ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัด เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2560 โดยเรียกค่าเสียหายตาม พ.ร.บ.ความละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 และขอให้ลบทะเบียนประวัติอาชญากรของโจทก์ออกจากทะเบียนประวัติอาชญากร เพื่อเป็นการชดเชยความเสียหายต่อร่างกายจากการถูกซ้อมทรมานด้วยการทำร้ายและการคลุมถุงดำบังคับให้รับสารภาพ ถือเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ใช้อำนาจกักขังหน่วงเหนี่ยวไม่ชอบ กระทำให้โจทก์และครอบครัวเสียชื่อเสียง รวมทั้งต้องแบกรับบาดแผลทางจิตใจและภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาและดำเนินคดีมาตลอด 13 ปี
โดยศาลพิเคราะห์เเล้วเห็นว่า บาดแผลตามเนื้อตัว ร่างกายโจทก์ตามผลการชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์ผู้ตรวจบาดแผล โจทก์ระบุว่า ตรวจพบกดเจ็บที่ข้อมือสองข้าง กดเจ็บที่คอด้านหลัง ไม่พบบาดแผล บาดแผลถลอกที่ท้อง ด้านซ้ายบน กดเจ็บที่ท้องด้านซ้ายบน ใช้เวลารักษาสามวัน ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์พบเพียง บาดแผลถลอกที่ท้องด้านซ้ายบน แต่โจทก์ก็เบิกความด้วยว่าโจทก์ถูก พ.ต.ท.วชิรพันธุ์ทำร้ายโจทก์ โดยใช้ถุงพลาสติกคลุมศีรษะและมัดรวบด้านหลังทำให้ขาดอากาศหายใจ โดยกระทำซ้ำ ๆ หลายครั้ง ทั้งยังใช้ถุงหลายใบครอบทับกันหลายชั้น จนขาดอากาศมีอาการชักเกรง ดิ้นทุรนทุราย รวมทั้งใช้เข่ากด บริเวณลำตัวไม่ให้ดิ้นรน ทั้งข่มขู่ว่าหากโจทก์ไม่รับสารภาพถ้าโจทก์ตายก็จะนำไปโยนทิ้งที่เขาอีโต้และจะเป็นเพียงคดีคนหายเท่านั้น เพียงเพื่อให้โจทก์รับสารภาพว่าได้กระทำความผิดอาญา การกระทำดังกล่าวเป็นการทรมานโจทก์ในฐานะผู้ต้องหาโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อมิให้เกิดร่องรอยบาดแผลบนตัวโจทก์และ เป็นการปกป้องตนเองให้พ้นจากความรับผิดตามกฎหมาย ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎบัตร สหประชาชาติที่ประเทศไทยเป็นภาคีส่งผลกระทบต่อสิทธิผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และกระทบกระเทือนต่อกระบวนการยุติธรรม
แม้โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานแสดงให้เห็นว่าโจทก์เสียหายเป็นจำนวนเท่าใด แต่ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคหนึ่ง โดยพิจารณาว่า พ.ต.ท.วชิรพันธุ์ (สงวนนามสกุล) เป็นเจ้าพนักงานตำรวจต้องดำเนินการภายใต้ กฎหมาย แต่กลับปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย วิธีปฏิบัติต่อผู้ต้องหาโดยการละเมิดสิทธิผู้ต้องหา และการชดเชยค่าเสียหายเป็นหน้าที่ของรัฐพึงกระทำ เห็นควรกำหนดค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน1 ล้านบาท เพื่อสมแก่เหตุที่โจทก์ทุกข์ทรมานและเป็นเยี่ยงอย่างสำหรับป้องกันไม่ให้กระทำความผิดลักษณะนี้อีกในภายภาคหน้าสำหรับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติยศ โจทก์เบิกความว่า ภายหลังเกิดเหตุคดีนี้ โจทก์ถูกพนักงานสอบสวนสภ.อ.ปราจีนบุรี ดำเนินคดีฐานวิ่งราวทรัพย์ ซึ่งเป็นผลโดยตรงมาจากการที่โจทก์ต้องรับสารภาพเนื่องจากถูกทำร้าย ร่างกายซ้อมทรมานให้รับสารภาพ ทำให้โจทก์ต้องมีประวัติอาชญากรติดตัวมาจนถึงปัจจุบัน เสื่อมเสีย ชื่อเสียง เกียรติยศ โจทก์ขอค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน1ล้าน บาท นอกจากนี้ โจทก์เบิกความ ขณะเกิดเหตุอายุเพียง 18ปี กำลังศึกษาอยู่ ม.5 ของโรงเรียนควรจะได้มีการศึกษาที่ดีและมีโอกาสทำงานที่ดี แต่กลับถูกแจ้งความกล่าวหาและกลั่นแกล้งฟ้องดำเนินคดีให้เสี่ยงต้องติดคุกติดตะรางพร้อมประวัติอาชญากร
โจทก์เคยได้รางวัลนักเรียนดีเด่นจากโรงเรียนดนตรีสยามกลกาลปราจีนบุรีและโจทก์เคยพยายามศึกษา เล่าเรียนเพื่อสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานแสดงให้เห็นว่าโจทก์เสียหายเป็นจำนวนเท่าใด ศาลมีอำนาจกำหนดให้ตามที่เห็นสมควร โดยพิจารณาระดับการศึกษา โอกาสในการประกอบอาชีพ รายได้ที่จะได้รับในแต่ละเดือน และผลเสียหายที่เกิดขึ้นจากการตกเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เห็นควรกำหนดค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 3 เเสนบาท
สำหรับค่าสินไหมทดแทนเพื่อเยียวยาความเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพในร่างกายของโจทก์นั้น โจทก์เบิกความว่า การถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวและทำร้ายร่างกายโดยทรมานและทารุณโหดร้าย เป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง รัฐจึงต้องตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและชดใช้ เยียวยาในความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่เป็นเงินในจำนวนที่พอจะถือว่าได้รับมาตรการเชิงลงโทษ อันเกิดจากการละเมิดต่อร่างกายของบุคคล เพื่อรัฐได้ปรับปรุงแก้ไข กำกับดูแล วางมาตรการป้องกัน และพัฒนาเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐมิให้เกิดเหตุการณ์ละเมิดต่อบุคคลใด ๆ ดังเช่นกรณีนี้อีกต่อไป โจทก์ขอค่าเยียวยาความเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพในร่างกายเป็นเงิน5ล้านบาทนั้น ความเสียหายที่โจทก์ขอมาเป็นความเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพในร่างกายของโจทก์ แต่โจทก์กลับอ้างถึงการทำร้ายร่างกายโดยทรมานและทารุณโหดร้าย อันเป็นความเสียหายต่อร่างกายซึ่งศาลกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์แล้วจึงเป็นการซ้ำซ้อน ทั้งได้ความว่าโจทก์ถูกกักขัง หน่วงเหนี่ยวซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่มีผลการตรวจ ปัสสาวะโจทก์แล้วไม่พบสารเสพติด เจ้าพนักงานตำรวจจึงปล่อยตัวโจทก์จากกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรีมาพบพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรเมืองปราจีนบุรี เห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายให้เป็นเงิน 8 หมื่นบาท
และสำหรับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายทาง จิตใจและค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินเป็นเงิน5ล้านบาทนั้น โจทก์เบิกความว่าขณะเกิดเหตุโจทก์ เป็นเพียงผู้เยาว์ แต่ต้องมาประสบพบเจอเหตุการณ์อันเลวร้ายจากการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัว และร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยวิธีซ้อม ทรมานและทารุณโหดร้าย โจทก์ตกอยู่ในอาการหวาดกลัว หวาดผวาและหวาดระแวงมาจนถึงปัจจุบัน และต้องติดอยู่ในจิตใจของโจทก์ตลอดไป ทำให้โจทก์ต้องเข้ารับการตรวจและรักษาทางด้านจิตเวชโดยผู้เชี่ยวชาญของสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เห็นว่า ความเสียหายทางจิตใจถือเป็น ความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446โจทก์มีสิทธิ เรียกค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ได้
เมื่อพิเคราะห์ถึงว่าขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นนักเรียน ภายหลังเกิดเหตุโจทก์เริ่มเข้ารับการตรวจกับทางสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ โดย นายแพทย์อภิชาติ แสงสิน จิตแพทย์เจ้าของไข้โจทก์ร่วมกับทีมสหวิชาชีพได้รวบรวมประวัติทั่วไป ประวัติการเจ็บป่วยโจทก์ ตรวจสภาพจิต และทดสอบทางด้านจิตวิทยา แล้วทำรายงานผลการตรวจ วินิจฉัยทางนิติจิตเวชระบุว่า พบว่าโจทก์มีอาการหวาดระแวง มีความเครียดภายหลังเหตุการณ์สะเทือน ขวัญ ซึ่งเป็นโรคที่จัดอยู่ในกลุ่มโรควิตกกังวล ชนิดหนึ่งซึ่งส่งผลต่อการเรียนการเข้าสังคมของโจทก์ และได้ความจากนายแพทย์อภิชาติเบิกความว่า ขณะที่โจทก์เข้ารับการตรวจโจทก์ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันยังพบความหวาดกลัวและความเครียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ ที่โจทก์เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวและทำร้ายร่างกายอยู่ มีอาการนอนไม่หลับ เครียดการได้เห็นเหตุการณ์หรือข่าวเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายร่างกายผู้ต้องหาหรือบุคคลที่ถูกควบคุมตัวโจทก์มีอาการหวาดกลัวและหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ตนเคยประสบอยู่ จนโจทก์เกิดความท้อแท้ ไม่กล้าออกจาก บ้านที่ต้องห่างบิดามารดาตั้งแต่ปี2558จนถึงปัจจุบันโจทก์ยังต้องได้รับการรักษาเพื่อเยียวยาและ ฟื้นฟูจิตใจอย่างต่อเนื่อง อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์ต้องทนทุกข์ทรมานทางกายและทางจิตใจเป็นเวลานาน โรคเครียดอย่างรุนแรงหลังประสบเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (PTSD) ของโจทก์มิใช่เป็นความรู้สึกอันเกิดจาก ภาวะทางอารมณ์ที่ปกติ แม้อาการของโจทก์เกิดขึ้นภายหลังจากเกิดเหตุมาแล้วเป็นเวลา 6ปี ก็ตามแต่แพทย์ก็วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ป่วยเป็นโรคเครียดอย่างรุนแรงหลังประสบเหตุการณ์สะเทือนขวัญ
จึงเป็นผลโดยตรง จากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลยเมื่อพิจารณาประกอบพฤติการณ์และความ ร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว เห็นควรกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ 2 ล้านบาท โดยค่าสินไหมทดแทน ในส่วนนี้ศาลไม่จำต้องคำนึงถึงฐานะและรายได้ของผู้เสียหายแต่อย่างใด รวมเป็นค่าสินไหมทดแทน ทั้งสิ้นเป็นเงิน 3,380,000บาท และโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยได้นับแต่เวลาที่ทำละเมิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ส่วนคำขอที่ให้จำเลยลบล้างหรือถอนประวัติ อาชญากรรมเห็นว่า ที่โจทก์ถูกดำเนินคดีใน ข้อหาวิ่งราวทรัพย์ ก็เนื่องจากนางเพ็ญศิริ สำเภาทอง เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ ดำเนินคดีกับโจทก์ พนักงานสอบสวนจึงต้องดำเนินคดีกับโจทก์ไปตามอำนาจหน้าที่ ต่อมาพนักงาน สอบสวนและพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องโจทก์ การดำเนินคดีกับโจทก์จึงสิ้นสุดลง เมื่อมีการแจ้งคำสั่งที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องโจทก์ไปยังจำเลยแล้ว จำเลยโดยกองทะเบียนประวัติอาชญากรมี การดำเนินคัดแยกแผ่นลายพิมพ์นิ้วมือและเอกสารที่เกี่ยวข้องทุกประเภทแยกออกจากสารบบหรือฐานข้อมูลประวัติอาชญากรเพื่อจัดเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในทางราชการแล้ว โจทก์ไม่ใช่อาชญากรและไม่มีประวัติเป็นอาชญากร กรณีจึงไม่มีข้อมูลที่ระบุว่าโจทก์เป็นอาชญากร กรณีของโจทก์ไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะลบล้างหรือทำลายประวัติอาชญากรที่ โจทก์จะขอให้จำเลยลบล้างหรือถอนประวัติของโจทก์ได้
สำหรับลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ ก็เป็นวิธี ปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเพื่อใช้เป็นข้อมูลซึ่งไม่ว่าผู้ใดถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดก็ จะต้องถูกจัดเก็บลายพิมพ์นิ้วมือทุกคน และแม้ว่าในที่สุดพนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้องหรือถูกฟ้อง แต่ศาลพิพากษายกฟ้อง ก็จะไม่มีการลบข้อมูลเกี่ยวกับลายพิมพ์นิ้วมือ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของทาง ราชการ หาใช่เพื่อกลั่นแกล้งผู้ใด ดังนั้นปัจจุบันโจทก์ไม่มีประวัติอาชญากรแล้ว
พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,380,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 มกราคม 2552 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก