ไทยลงนาม MOU กัมพูชา จับมือปราบแก๊งคอลเซนเตอร์ อย่างเป็นทางการ หลังปัญหาทวีความรุนแรง สร้างความเสียหายทั้ง 2 ประเทศ พร้อมนำผู้ต้องหา 74 คน กลับไปดำเนินคดีในไทย
วันที่ 11 ก.ค. 2565 ที่กระทรวงการไปรษณีย์และโทรคมนาคม กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา วันนี้ (11 ก.ค. 65) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อม พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ศปอส.ตร. (PCT) ได้ร่วมหารือทวิภาคี กับ นายเจีย วันเดค (Mr. Chea Vandeth) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการไปรษณีย์และโทรคมนาคมแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการปราบปรามแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam
โดยการลงนามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้เป็นผลลัพธ์สำคัญจากการหารือและดำเนินการร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 หลังจากที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับแจ้งจากกลุ่มผู้เสียหายจำนวนมากจากการถูกหลอกลวงจากคนร้ายแก๊ง Call Center แก๊งหลอกชักชวนให้ร่วมลงทุน และแก๊งพนันออนไลน์หลายเว็บไซต์ โดยปัญหาดังกล่าวได้ทวีความรุนแรงและสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่องแก่ประชาชนชาวไทยและหน่วยงานภาครัฐที่ถูกแอบอ้าง ซึ่งจากการสืบสวนทราบว่ากลุ่มคนร้าย ได้ดำเนินการจากประเทศกัมพูชา
ซึ่งการหารือทวิภาคีครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือด้านการปราบปรามแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam และการดำเนินการร่วมกัน อาทิ การจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่าย การแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อใช้ในการสืบหา หลักฐานในประเทศไทยและกัมพูชา และขยายการสืบสวนเพื่อให้ได้ตัวผู้กระทำความผิด และการประสานงานและอำนวยความสะดวกในกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดน นอกจากนี้ ยังได้ร่วมหารือแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือด้านดิจิทัล ไอซีที และการไปรษณีย์ โดยฝ่ายกัมพูชามีความสนใจด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทย ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะได้มีการแลกเปลี่ยนความร่วมมือและองค์ความรู้ในสาขาที่มีความสนใจร่วมกันต่อไป
ด้าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ศปอส.ตร. (PCT) เปิดเผยว่าการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชา ครั้งนี้ กระทรวงดีอีเอส ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ยังได้ร่วมกัน ติดตามผลการปฏิบัติการจับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์ 4 แก๊งใหญ่ มีผู้ต้องหา 74 คน เพื่อนำตัวไปดำเนินคดียังประเทศไทยด้วย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ส่งชุดปฏิบัติการ PCT จำนวนกว่า 20 นาย นำกำลังเข้ามาประสานงานกับตำรวจกัมพูชาเพื่อให้ช่วยติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ จนนำไปสู่ปฏิบัติการเข้าตรวจค้นจำนวน 5 จุด คือ
จุดที่ 1 เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.65 ที่เมืองพระสีหนุ โรงแรมจิงเฉิง อาคาร 12 ชั้น ถ.สองธนู จับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์ จำนวน 21 หมายจับ ใช้รูปโปรไฟล์คนหน้าตาดีผ่านแอปพลิเคชันหาคู่ Tinder หลอกลวงให้หลงรัก และชวนลงทุนใน MetaTrader 5 (ฟอเร็กซ์) หรือซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล โดยจะให้ทำการเทรด การวิเคราะห์ทางเทคนิค ตามคำแนะนำ และชักชวนให้ลงทุนกับโบรกเกอร์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกให้ลงเงินแต่ไม่มีการลงทุนจริง
จุดที่ 2 วันเดียวกัน ที่เมืองพระสีหนุ คาสิโนโป๋ไหล ถ.ปุโลไว 300 ไม่พบผู้ต้องห
จุดที่ 3 เมื่อวันที่ 6 ก.ค.65 ที่เมืองพระสีหนุ ประตูแดง จับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์ จำนวน 18 หมายจับ แอบอ้างเป็น สภ.แหลมฉบัง ที่เมืองพระสีหนุ อยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบตัวบุคคล ที่น่าสนใจสามารถจับกุมตัวนายจิรายุ เพิ่มชื่น แอบอ้างเป็น สายที่ 3 ผกก.สภ.แหลมฉบัง ซึ่งถือเป็นผู้ต้องหาสำคัญในคดี
จุดที่ 4 วันเดียวกัน ที่เมืองพระสีหนุ จับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์หลอกให้กู้เงินออนไลน์ สภ.เมืองจันทบุรี ที่เมืองพระสีหนุ จำนวน 10 หมายจับ
จุดที่ 5 วันที่ 7 ก.ค.65 ที่เมืองปอยเปต จับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์ อ้างเป็นบริษัทส่งพัสดุ DHL สภ.ท่าใหม่ ที่เมืองปอยเปต จำนวน 25 หมายจับ
รวมจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 74 คน โดยขณะเข้าตรวจค้นพบคนไทยกำลังทำงานร่วมกับกลุ่มผู้ต้องหา จึงได้นำตัวออกมาสอบสวนดำเนินคดีอีกจำนวน 15 คน รวมควบคุมตัวทั้งสิ้น 89 คน
รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า การจับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์ทั้ง 4 แก๊งนี้ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากตำรวจกัมพูชา โดยวันนี้เป็นการเดินทางมาให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชาเท่านั้น เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งหมดยังอยู่ระหว่างการดำเนินคดีตามกฎหมายกัมพูชา เช่นกฎหมายคนเข้าเมือง ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว ทางกัมพูชาก็จะส่งตัวผู้ต้องหาทั้งหมดให้กับไทย ซึ่งตนและเจ้าหน้าที่ PCT จะเดินทางมารับตัวที่ จ.สระแก้ว เพื่อนำตัวไปสอบสวนดำเนินคดีต่อไป ที่ผ่านมาเราสามารถออกหมายจับแก๊งคอลเซนเตอร์ได้จำนวน 237 หมายจับ จับกุมได้แล้ว 138 หมาย และอยู่ระหว่างประสานงานติดตามจับกุมอีก 99 หมาย