"นายกฯ" แนะเหล่าทัพจัดซื้อ "อาวุธ" เท่าจำเป็น ชี้ฝ่ายค้านประท้วง ตัดงบจัดซื้อเครื่องบิน f-35 มูลค่า 700 ล้านบาท ตามบทบาทการเมือง เชื่อลึก ๆ เข้าใจดี พร้อมกำชับพัฒนาศักยภาพ ปรับลดกำลังพลร้อยละ 5 ของยอดปัจจุบัน ตามแนวทางปฏิรูประยะที่ 2

 

วันที่ 27 ก.ค. 65 พันเอกจิตนาถ ปุณโณทก รองโฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหม ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มอบนโยบายให้กับหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกลาโหม เหล่าทัพ เรื่องการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพกองทัพ ว่า ให้ดำรงความต่อเนื่องการจัดเตรียมกองทัพ ให้พร้อมสำหรับการพิทักษ์รักษา ปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ การป้องกันและการพัฒนาประเทศ รวมทั้งการรักษาผลประโยชน์ของชาติและการช่วยเหลือประชาชน ตลอดจนเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพของกองทัพ ด้วยการปรับลดกำลังพลลงร้อยละ 5 ของยอดบรรจุในเดือนก.ย. 63 ตามแนวทางการปฏิรูปการบริหารจัดการกำลังพลของกระทรวงกลาโหม ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 -2570) โดยดำเนินการให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของบริบทด้านความมั่นคงทั้งในระดับประเทศและในระดับภูมิภาค ตลอดจนภัยคุกคามต่าง ๆ อันเป็นการช่วยลดงบประมาณรายจ่ายบุคลากรของกระทรวงกลาโหมได้อีกช่องทางหนึ่ง

สำหรับการนำยุทโธปกรณ์ใหม่เข้าประจำการนั้น ให้ดำเนินการเท่าที่จำเป็น ควบคู่ไปกับการซ่อมปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพ และยืดอายุการใช้งานยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่เดิม เพื่อให้สอดคล้องกับขีดความสามารถด้านงบประมาณของประเทศต่อไป

ทั้งนี้ มีรายงานว่า พลเอกประยุทธ์ ได้กล่าวในที่ประชุมสภากลาโหม กรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์และกรณีคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์และ ICT มีมติตัดงบงวดแรกในการจัดซื้อเครื่องบิน f-35 จำนวน 2 ลำ มูลค่า 700 ล้านบาท ออกจากรายการงบประมาณประจำปี 2566 โดยบอกว่า เป็นขั้นตอนทางการเมืองที่ฝ่ายค้านแสดงออก เพื่อให้เห็นว่าทำหน้าที่ตัดงบทหารแล้ว แต่ในความเป็นจริงเชื่อว่าเขาเข้าใจ ดังนั้นกองทัพก็ต้องชี้แจงทำความเข้าใจถึงความจำเป็นของการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่อไป ซึ่งเครื่องบิน f-35 ไม่ใช่จะซื้อเมื่อไหร่ก็ซื้อได้ แต่มีรายละเอียดขั้นตอนที่ต้องใช้เวลากว่าจะได้มา กว่าจะฝึกให้พร้อมใช้งานได้