อดีต จนท.ราชภัฏดัง โร่มอบตัวในคดีโกงเงินค่าเทอมนักศึกษากว่า 60 ราย รวมมูลค่าเสียหายกว่า 2 ล้านบาท แสบทำทีตีสนิทก่อนออกใบเสร็จปลอมให้ ยอมรับก่อเหตุจริง เอาไปใช้หมุนเวียนในครอบครัว เหตุมีผู้ป่วยติดเตียง
วันที่ 16 ส.ค. 65 ที่ สน. สามเสน นางสาวอลิสา พจนารถ อายุ 43 ปี อดีตเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา วิทยาเขต นครปฐม พร้อมทนายความเดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.สุรพงษ์ สุขแย้ม ผกก.สน.สามเสน พ.ต.ท. ธนพรหม ธนอาภากร รองผกก.สส.สน.สามเสน พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ จันทร์ทอง สว. (สอบสวน) สน. สามเสน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาฉ้อโกงตามหมายเรียกที่ทางพนักงานสอบสวนให้มารับทราบ หลังก่อเหตุฉ้อโกงค่าเทอมนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
โดยนางสาวอลิสา เดินทางมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า วันนี้มาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกที่ได้รับตามนัดหมาย โดบยังไม่ทราบว่าจะถูกแจ้งข้อหาอะไรบ้าง และเชิญมาพบด้วยสาเหตุใด ทั้งนี้ตนเองยอมรับว่าทำงานที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา วิทยาเขตนครปฐม นานแล้ว
สำหรับคดีนี้ สืบเนื่องจากนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน. สามเสน ว่าถูกเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัยโกงค่าเทอมกว่า 60 ราย รายละประมาณ 2 หมื่นบาท จนไม่สามารถสำเร็จการศึกษาได้ มูลค่าความเสียหายกว่า 2 ล้านบาท โดยผู้เสียหายมีหลักฐานการโอนเงิน เหตุเกิดขึ้นในพื้นที่ สน.สามเสน มีผู้เสียหายประมาณ 10 กว่าราย ผู้ต้องหาที่เหลืออีกส่วนเหตุเกิดในพื้นที่ สภ. พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ผู้เสียหายทยอยแจ้งความตำรวจ 2 โรงพัก ตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค. ที่ผ่านมา
โดยพฤติการณ์ของนางสาวอลิสา คือ อาศัยความสนิทสนมกับนักศึกษา โดยดูว่านักศึกษาคนไหนที่ยังไม่ชำระค่าเทอม จะเสนอตัวและรับเงินไปจ่ายให้ จากนั้นนำเงินไปเป็นของตัวเอง ออกใบเสร็จปลอมให้ เบื้องต้นยังไม่พบหลักฐานว่ามีบุคคลอื่นร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกง พร้อมดำเนินการอายัดบัญชีแล้ว โดยเหตุเกิดช่วงปี พ.ศ. 2560 ถึงปัจจุบัน มีนักศึกษาเป็นผู้เสียหาย เบื้องต้นพบกระทำความผิดจริง และได้มีหนังสือให้ออกจากราชการ เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 65 ที่ผ่านมา โดยจากการสอบปากคำ นางสาวอลิสาให้การรับสารภาพว่าได้ลงมือก่อเหตุจริง โดยนำเงินที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวันและหมุนใช้ในครอบครัว เนื่องจากมีบุคคลในครอบครัวป่วยติดเตียง อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนจากนี้ทางพนักงานสอบสวนจะคุมตัวไปขออำนาจศาลแขวงดุสิตฝากขัง โดยทางทนายความได้เตรียมหลักทรัพย์ในการยื่นประกันตัวแล้ว นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการ ประสานข้อมูลกับทาง สภ. พุทธมณฑล เพื่อตรวจสอบยอดความเสียหายทั้งหมดว่าเป็นจำนวนเงินเท่าใด และพิจารณาว่าเข้าข่ายการกระทำความผิดในลักษณะฉ้อโกงประชาชนหรือไม่