ญาติฮือรุมประชาทัณฑ์มือรัวยิง ส.ต. 19 นัด แม่ร้องยังทำใจไม่ได้ หลานชายยังไม่ทันเห็นหน้าพ่อ เผยเพิ่งเจอลูกวันแม่ ไม่คิดว่าจะเป็นกราบลาครั้งสุดท้าย เชื่อว่าเวรกรรมมีจริง สุดท้ายต้องชดใช้กรรมที่ก่อไว้

 

วันที่ 20 ส.ค. 65 กรณี ส.ต.วัชระ (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี พลสารวัตรทหาร มทบ.210 ค่ายพระยอดเมืองขวาง ถูก ส.ท. รุ่นพี่ใช้อาวุธจ่อยิงกว่า 19 นัด เสียชีวิตคาป้อมยาม

ความคืบหน้า วันนี้ พ.ต.อ.ณัฏฐวิชฌ์ ราชแก้ว ผกก.สภ.เมืองนครพนม และ พ.ต.ท.คำดี เฮียงบุญ รอง ผกก.สส. นำตัว ส.ท.มานิตย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี หรือ สห.วิทย์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี ในข้อหาฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา ออกจากห้องคุมขัง สภ.เมืองนครพนม โดย พ.ต.อ.ณัฏฐวิชฌ์ ใช้เวลาสอบสวนด้วยตนเองนานกว่า 2 ชั่วโมง

สอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพว่า สาเหตุที่ลงมือยิง ส.ต.วัชระ 19 นัด เนื่องจากก่อนที่จะกลับบ้านไปหาแม่ที่ อ.ปลาปาก ขณะมาถึงปากประตูเห็นผู้ตายกำลังยืนเข้าเวร แต่ไม่ทำความเคารพในฐานะที่ตนเองมียศ ส.ท.สูงกว่า และเป็นรุ่นพี่ ด้วยความคับแค้นและความเครียดที่สะสม จึงก่อเหตุลงมือยิงด้วยอารมณ์ชั่ววูบ

ด้านภรรยาอุ้มลูกน้อยของผู้ตายวัยแค่ 29 วัน พร้อมญาติกว่า 20 คน เพื่อจะมาดูหน้าและถามคนร้ายว่า “ทำกันทำไม” โดยมารุมล้อมหน้าห้อง พ.ต.อ.ณัฏฐวิชฌ์ นานกว่า 2 ชั่วโมง ภายหลังหลังสอบปากคำเสร็จ ขณะที่ตำรวจคุมตัวผู้ต้องหาลงไปห้องคุมขังชั้นล่าง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่นำตัว ส.ท.มานิตย์ ออกจากห้อง ญาติพี่น้องฝ่ายผู้ตายซึ่งมาจาก ต.โพนบก ก็ฝ่าวงล้อมตำรวจเข้ารุมเข้าประชาทัณฑ์ โดยใช้มือฟาดเข้าที่ศีรษะผู้ต้องหาราว 4-5 ครั้ง ในจำนวนนี้ 3-4 หมัดพลาดไปโดนตำรวจที่คุมตัวจนหน้าแดงกล่ำขณะเดินลงบันได ตำรวจจึงคุมตัวเข้มไปจนถึงชั้นล่าง ญาติยังไม่พอใจตะโกนด่าทอ สาปแช่ง ให้ตายตกไปตามกัน

เจ้าหน้าที่จึงยกเลิกนำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบรับคำสารภาพกลางคัน เนื่องจากเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา ซึ่งประเมินแล้วว่าอาจจะไม่ปลอดภัย และญาติอาจไปดักรอฮือรุมประชาทัณฑ์อีก ซึ่งในวันที่ 21 ส.ค.65 จะนำตัวผู้ต้องหาส่งไปดำเนินคดีที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี

หลังญาติทราบว่าไม่มีการทำแผนประกอบรับคำสารภาพ จึงเปลี่ยนใจไปรอรับศพ ส.ต.วัชระ หลังส่งไปผ่าชันสูตรที่สถาบันนิติเวช รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น ก่อนจะนำศพกลับไปที่บ้านไทยเจริญ หมู่ 7 ต.โพนแพง อ.ธาตุพนม เพื่อไปทำพิธีเรียกวิญญาณผู้ตายในวันพรุ่งนี้

นางอัมรา อายุ 64 ปี แม่ของผู้ตาย ยังคงอยู่ในอาการช็อก รับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอนร้องไห้ฟูมฟายหลังทราบข่าววันเกิดเหตุ โดยไม่ยอมกินข้าว และยังทำใจไม่ได้ เนื่องจากผู้ตายคือเสาหลักของครอบครัว มีลูก 2 คน ผู้ตายคนโตรับราชการคนเดียว พร้อมร่ำไห้ด้วยความแค้น อยากถามคนก่อเหตุว่า ทำร้ายลูกชายทำไม ทั้งที่เป็นเพื่อนรุ่นพี่คนสนิท และยังเคยมาบ้านกับผู้ตาย ตนเองยังหาข้าวปลาอาหารให้กิน รักเหมือนลูก ที่น่าเศร้าคือลูกชายเข้าเวรวันแรก หลังจากลา 15 วันดูแลภรรยา คลอดลูกชายได้ยังไม่ถึงเดือนเลย

“หลานชายต้องกำพร้าทั้งที่ยังไม่เห็นหน้าพ่อ โดยลูกเข้ารับราชการทหารได้ราว 1 ปี ทำให้อนาคตครอบครัวต้องมาพังหมด อยากให้คนก่อเหตุรับกรรม เชื่อว่าเวรกรรมมีจริง สุดท้ายต้องชดใช้กรรมที่ก่อไว้ ไม่คิดว่าจะอายุสั้นแบบนี้ วันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา ลูกยังแวะมาหา ไม่คิดว่าจะเป็นกราบลาครั้งสุดท้าย” นางอัมรา กล่าว