"มัลลิกา" ซัด "อุ๊งอิ๊ง" ไม่ทันเริ่มก็ลอกแล้ว ชี้"เซลล์แมนประเทศและ Soft Power" "จุรินทร์" ทำมา 3 ปีแล้ว สร้างมูลค่าการค้าจนงานส่งออกกลายเป็นรายได้ขาหลักช่วยประเทศ
นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข สส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนางแพรทองธาร ชินวัตร ประกาศนโยบายหาเสียงที่จังหวัดเชียงใหม่ว่า จะทำนโยบายเซลล์แมนประเทศ และ Soft Power
โดยนางมัลลิกา กล่าวว่า ถ้ามีโอกาสมาทำเพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนก็เป็นเรื่องดี แต่ต้องรู้ด้วยว่านโยบายนี้รัฐบาลปัจจุบันทำมา 3 ปี ขับเคลื่อนโดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
แถลงประกาศตัวเลขไปตั้งหลายครั้ง แต่ละครั้งก็มีมูลค่าที่สร้างรายได้ให้ประเทศ จนภาคเอกชนขานรับกันทุกสมาคม และวันที่ 14 กันยายนนี้ ก็จะเป็นการประชุมทูตพาณิชย์ 58 ประเทศที่ประจำอยู่ทั่วโลก ซึ่งแจ้งกำหนดการล่วงหน้าไปนานแล้ว โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผลักดันอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ของไทย นำซอฟพาวเวอร์มาผสมผสานเพื่อสะท้อนความเป็นอัตลักษณ์ของความเป็นไทยลงไปในเนื้อหาของดิจิทัลคอนเทนท์ นอกจากขายศักยภาพของภาคธุรกิจด้านนี้ของไทยแล้ว ให้ขายความเป็นไทยเข้าไปด้วยจะได้สองต่อ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและศิลปะวัฒนธรรม วิถีชีวิตของความเป็นเรา คู่ขนานกันไปพร้อมกัน ทั้งนี้เพื่อรองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหลังวิกฤติโควิด-19 ด้วย
ส่วนเรื่องของเซลล์แมนประเทศ เซลล์แมนจังหวัด นายจุรินทร์ประกาศตั้งแต่วันแรกที่เข้ามารับงานที่กระทรวงพาณิชย์ และมีการจัดประชุมมอบหมายงาน รวมทั้งนำเอาทูตพาณิชย์ที่ถูกมอบหมายให้อยู่แต่ละสำนักงานในต่างประเทศ มาดูงานเกษตรกรที่ปลูกพืชหลักของประเทศในแต่ละภาคของไทย พร้อมวัดผลด้วยการส่งออกสินค้าเกษตรสินค้า อุตสาหกรรมการเกษตร และทุกประเภทสินค้าในแต่ละภูมิภาคของโลก เซลล์แมนประเทศร่วมมือกันกับผู้ประกอบการภาคเอกชนเป็นทีมเวิร์ค รัฐบาลนี้บรรจุมาตั้งแต่ปี 2562 และสร้างมูลค่าการค้าประกาศตัวเลขส่งออกทุกเดือน จนเป็นที่จดจำว่าการส่งออกกลายเป็นรายได้ขาหลัก ช่วยค้ำจุนประเทศมาในภาวะที่เราเจอวิกฤตโควิด-19 เพราะภาคการท่องเที่ยวที่เคยเป็นรายได้หลักมีปัญหานาน 3 ปี
"ทำไมถึงถนัดลอกเสียจริง กี่เรื่องมาแล้ว และถ้าจะประกาศเป็นนโยบายหาเสียงหลักขนาดนั้น ควรประกาศขอบคุณรัฐบาลชุดปัจจุบันนี้ด้วยที่ได้เริ่มต้นมาให้ คุณถึงจะเอาไปต่อยอด จะขอบคุณหรือชื่นชมคนอื่นกันบ้างก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา ก่อนที่จะนำไปประกาศเป็นนโยบายหลักของครอบครัวตนเอง"