ย้อนคดีการทำร้ายร่างกายเพราะความเห็นต่างทางการเมือง พี่น้องฝาแฝดบุกชก อ.วรเจตน์ ถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศาลพิพากษาจำคุกไม่รอลงอาญา

วันที่ 18 ต.ค. 2565 จากกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ถูกนายวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล หรือศักดิ์ อายุ 62 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มมวลชนเสื้อแดง ได้บุกเข้าไปชกต่อยนายศรีสุวรรณ ขณะกำลังให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอยู่ที่หน้ากองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แม้นายศรีสุวรรณจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก แต่ยอมรับว่าถูกหมัดเข้าบริเวณปลายคาง และจากภาพข่าวจะเห็นว่ามีการเตะเข้าบริเวณชายโครงซ้าย ซึ่งนายศรีสุวรรณได้เข้าแจ้งความในข้อหาทำร้ายร่างกายไว้ที่ สน.พหลโยธิน

หลายคนสนใจว่าคดีนี้บทสรุปจะมีการลงโทษผู้ก่อเหตุอย่างไร เพราะหลังก่อเหตุ นายวีรวิชญ์ ยังกลับไปไลฟ์สดในช่องยูทูบของตัวเอง โดยมีกลุ่มคนที่สนับสนุนโทรเข้ามาพูดคุยให้กำลังใจและบริจาคเงินช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก

 

ทีมข่าวออนไลน์ช่อง 8 พาไปย้อนคดีทำร้ายร่างกาย จากความเห็นต่างทางการเมือง ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ว่าบทสรุปครั้งนั้นเป็นอย่างไร

เหตุการณ์เมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2555 เวลากลางคืน นายสุพจน์ และนายสุพัฒน์ อายุ 30 ปี สองพี่น้องฝาแฝด ได้ไปดักรอและรุมชกทำร้ายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ที่เรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยได้รับบาดเจ็บบริเวณโหนกแก้มขวาและหน้าผาก แล้วหลบหนีไป เหตุเกิดบริเวณลานจอดรถหน้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ต่อมานายสุพจน์ และนายสุพัฒน์ ได้เดินทางเข้ามามอบตัวกับตำรวจ พร้อมยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุ โดยให้การกับเจ้าหน้าที่ว่า

"ไม่เห็นด้วยกับคณะนิติราษฎร์ที่พยายามเคลื่อนไหวจะแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ และเมื่อวันที่เกิดเหตุได้เดินทางไปไหว้พระซึ่งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย เลยแวะเข้าไปนั่งเล่น จนเกิดความคิดจะระบายความแค้นนายวรเจตน์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ เลยดักรอจังหวะที่นายวรเจตน์ขับรถมาจอด จึงเดินตรงเข้าทำร้ายร่างกายก่อนหนี"

คดีนี้ อัยการโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 และให้นับโทษต่อนายสุพจน์ จำเลยที่ 1 ในคดีแดง 1336/53 ของศาลอาญา ในคดีกระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน ที่ศาลรอการลงโทษไว้จำนวน 7 เดือนด้วย โดยจำเลยรับสารภาพ

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาจำคุกจำเลยคนละ  6 เดือน คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยไว้คนละ 3 เดือนโดยไม่รอลงอาญา  ส่วนนายสุพจน์ จำเลยที่ 1 ให้บวกโทษคดีกระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน ที่รอการลงโทษไว้ 7 เดือน รวมจำคุกนายสุพจน์ไว้ 10 เดือน

ต่อมาญาติของทั้งสองได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 5 หมื่นบาท ขอปล่อยชั่วคราว ศาลแขวงดุสิตใช้เวลาพิจารณาอยู่นาน 2 ชั่วโมง ก่อนจะอนุญาตให้ทั้งสองประกันตัวไป โดยตีราคาประกันตัวคนละ 2.2 หมื่นบาท