รวบช่างซ่อมรถตระเวนขี่รถพ่วงข้าง สวมเสื้อตำรวจขายยาบ้า ของกลางกว่า 600 เม็ด สารภาพเพิ่งออกคุกได้ปีกว่า ซ่อมรถได้เงินไม่พอใช้ เลยหวนกลับมาค้ายาเหมือนเดิม

ที่ห้องสืบสวน  กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมหาสารคาม  พ.ต.อ.นุติ ผู้กำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมหาสารคาม  เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.สามารถ สว.กก.สืบสวน ภ.จว.มหาสารคาม พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน ภ.จว.มหาสารคาม ร่วมทำการจับกุมตัว  นายรังสรรค์  อายุ 39 ปี พร้อมด้วยของกลางยาบ้า 680 เม็ด  รถจักรยายนต์พ่วงข้าง 1 คัน

 

พ.ต.อ.นุติ ผู้กำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมหาสารคาม  กล่าวว่า  ในการจับกุมผู้ต้องหารายนี้  เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากสายลับว่าเกือบทุกวัน  นายรังสรรค์  หรือ สัน จะขับขี่รถถจักรยายนต์พ่วงข้างเข้ามาจำหน่ายยาบ้าในซอยมนตรีบำรุง ในช่วงเวลาประมาณ 19.00-21.00 น. จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่นำกำลังไปดักซุ่ม ต่อมาผู้ต้องหาได้ขับขี่รถจักรยายนต์เข้ามา น่าเชื่อได้ว่าจะมาจำหน่ายยาบ้าเหมือนเช่นเคย เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวขอตรวจค้น  พบว่าผู้ต้องหากำยาบ้าอยู่ในเมื่อข้างซ้ายจำนวน 3 ถุง  มียาบ้ารวม 550 เม็ด  โดยยอมรับว่ายาบ้าทั้งหมดเป็นของตน  ก่อนจะนำตัวมาสอบสวบต่อที่ห้องสืบสวน ภ.จว.มหาสารคาม 

 

จากนั้นได้ขยายผลเพิ่มเติมทราบว่า  ผู้ต้องหายังคงซุกซ่อนไว้อีกจำนวนหนึ่ง อยู่ที่บ้านพักในพื้นที่ตำบลเขวา อ.เมือง จึงได้นำเจ้าหน้าที่ไปตรวจยึด พบยาบ้าอีกจำนวน 130 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณชั้น 2 ของตัวบ้าน  จึงได้ตรวจยึดไว้  รวมของกลางยาบ้าทั้งหมดที่สามารถตรวจยึดได้รวม 680 เม็ด 

 

โดยผู้ต้องหาบอกว่าเพิ่งออกจากเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์มาได้ปีกว่า ๆ ในข้อหายาเสพติด พอออกมาก็มาเป็นช่างซ่อมรถจักรยายนต์ในหมู่บ้าน  เงินไม่พอใช้  จึงได้หวนกลับมาค้ายาเช่นเดิม  โดยไปรับยามาจากจังหวัดกาฬสินธุ์  รอบล่าสุด 800 เม็ด  ราคารวม 11,200 บาท  ตกเม็ดละ 14 บาท  โดยจะนำมาจำหน่ายเป็นถุง  ถุงละ 200 เม็ด ในราคา 4,200-4,500 บาท  ตกเม็ดละ 21-22.50 บาทเท่านั้น  ขณะเข้าจับกุมผู้ต้องหาใส่เสื้อที่สกรีนตราโล่ห์ของตำรวจ  ด้านหลังสกรีนคำว่า POLICE สอบถามผู้ต้องหาแจ้งว่า ได้ไปซื้อมาจากตลาดนัด ไม่เกี่ยวข้องการเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด

 

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหา  มีไว้ครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)  โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย  อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า  และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาต  ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป