มีมติเคาะไม่ต่อใบอนุญาต "มูลนิธิครูยุ่น" ปล่อยสิ้นสภาพ ม.ค.66
นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าการคุ้มครองเด็กในมูลนิธิคุ้มครองเด็ก (บ้านครูยุ่น) อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ภายหลังมีข่าวเด็กโดนทำร้ายว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ย. ที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัดสมุทรสงคราม มีมติให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการนำเด็กที่เหลือกว่า 20 คน ออกมาอยู่ในความคุ้มครองสวัสดิภาพของกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ตามพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กพ.ศ.2546 หลังจากที่ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ ได้นำเด็กออกมาแล้ว 29 คน
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัดสมุทรสงครามมีมติไม่ต่ออายุมูลนิธิคุ้มครองเด็กดังกล่าว เนื่องจากใบอนุญาตดำเนินการจะหมดอายุในเดือนม.ค.2566 หลังจากนี้ต้องปล่อยให้สิ้นสภาพการเป็นสถานสงเคราะห์ที่ได้รับอนุญาต แต่หากมูลนิธิดังกล่าว ยื่นขอต่ออายุใหม่เป็นอำนาจของคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัดซึ่งจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาในทุกมิติ รวมถึงมีสหวิชาชีพเข้าไปร่วมพิจารณา เป็นคณะกรรมการระดับพื้นที่ประเมินก่อนจะเสนอขออนุญาตต่อผู้ว่าราชการจังหวัด แต่เท่าที่ประเมินสภาพแวดล้อมสุขอนามัยในมูลนิธิฯ ดังกล่าวหลังจากที่ลงพื้นที่เห็นว่าต้องมีการปรับปรุงยกใหญ่พอสมควร
เมื่อถามถึงกรณีนายมนตรี สินทวิชัย หรือครูยุ่น เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี จะมีผลต่อการขอต่อใบอนุญาตหรือไม่ นายอนุกูล กล่าวว่า ต้องดูเกณฑ์คุณสมบัติเงื่อนไขการขอนุญาตดำเนินการของสถานสงเคราะห์เอกชน กรณีเป็นผู้จัดตั้งหรือเจ้าของว่ามีการกำหนดเป็นเงื่อนไขอย่างไรหรือไม่ แต่หากผู้ถูกกล่าวหาเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเด็กถือว่าหมดสภาพการเป็นเจ้าหน้าที่ เนื่องจากเป็นความเสี่ยงต่อเด็ก
ผู้สื่อข่าวถามถึงความเหมาะสมในการลงโทษเด็กและการให้เด็กทำงาน นายอนุกูล กล่าวว่า ไม่ว่าจะลงโทษด้วยการตีแบบไหนเป็นสิ่งต้องห้ามตามพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก เพราะไม่ใช่เพียงบาดแผลทางกาย แต่ยังมีเรื่องสภาพจิตใจเด็กส่วนการทำงานเพื่อหารายได้เสริมในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีไม่สามารถทำได้ กรณีเด็กอายุมากกว่า 15 ปี หากไปช่วยงานฝึกการทำงานมีค่าตอบแทนต้องดูที่เจตนาด้วย