มาตามนัด! "สันธนะ" เข้า สตช. นำพาสปอร์ตฝากมอบให้ ผบ.ตร. เเสดงความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีเอี่ยวคดีทุนจีนสีเทา ลั่นมีข้อมูลบิ๊กตำรวจ ยศ "พลตำรวจเอก" รับเงินแก๊งจีน
วันที่ 14 พ.ย.65 เมื่อเวลา 10.15 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตนายตำรวจสันติบาล ได้เดินทางมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามที่เคยระบุไว้ในการแถลงข่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า จะขอเข้าพบผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีกลุ่มทุนจีนมามอบให้
นายสันธนะ กล่าวว่า ตนเองได้นำพาสปอร์ตมาขอมอบและฝากไว้กับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ หลังถูกกล่าวอ้างเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาของชาวจีน และมีข่าวว่าสัปดาห์นี้จะมีการออกหมายจับใหญ่ และอาจจะหมายถึงตนเอง ที่ผ่านมาตอนยืนยันว่าได้เดินทางไปที่ประเทศลาว ได้เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จึงทำให้ตนเองมั่นใจว่าไม่เกี่ยวข้องในเรื่องการกระทำผิดกับบุคคลเหล่านั้น ถึงได้เอาพาสปอร์ตมาฝากไว้ที่ ผบ.ตร. จนเมื่อพ้นสัปดาห์นี้หรือแม้กระทั่งตอนที่มีการออกหมายจับ
นอกจากนี้ยังได้เอาเอกสารมาทั้งหมดกว่า 3 กระเป๋า ถ้าหากตำรวจให้ตนเองได้ร่วมทำงาน ซึ่งที่ผ่านมาในหลาย ๆ คดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เลี่ยงที่จะให้ตนเองเข้าไปอยู่ในสำนวน เพราะรู้ว่าถ้าตนเองเข้าไปอยู่ในคดีไม่ว่าจะเป็นทั้งคดีแตงโม คดีบ่อนระยอง ไม่เอาตนเองเข้าไปอยู่ในสำนวนแล้วเป็นอย่างไร ศาลก็ยกฟ้อง วันนี้ตนเองต้องการที่จะขอเข้าไปร่วมทำงานโดยการให้ข้อมูล จะได้มีน้ำหนักในการพิจารณา ซึ่งข้อมูลที่มีเป็นทั้งข้อมูลบวกและลบ กับกลุ่มทุนจีนที่อยากให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ
นายสันธนะยังกล่าวว่า ตนเองมีข้อมูลว่า ได้มีตำรวจยศระดับพลตำรวจเอกที่มีตั้งแต่ยังรับราชการอยู่ในตอนนี้ไปจนถึงอดีตนายตำรวจ และฝ่ายการเมืองที่ได้รับผลประโยชน์จากกลุ่มทุนจีนพวกนี้มามอบให้ด้วย เพื่อต้องการให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังนายสันธนะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย หลังนายสันธนะต้องการที่จะขอเข้าไป กราบสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ประดิษฐานอยู่ที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และขอรอยกมือสวัสดีขบวนรถยนต์ของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีที่ได้เข้ามาปฏิบัติภารกิจที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติในวันนี้
แต่ทางเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่อนุญาตจึงมีการถกเถียงกันเกิดขึ้น ในสุดจึงได้ตกลงกันได้ว่าอนุญาตให้นายสำนักเข้าไปกราบสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.4 และให้เดินทางกลับเท่านั้น