ประกันตัวครบทั้ง 25 คนแล้ว! กลุ่มผู้ชุมนุมราษฎรหยุดเอเปค 2022 จวก คฝ. ใช้ความรุนแรง ละเมิดความเป็นมนุษย์อย่างที่สุด เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้เด็ดขาด
วันที่ 19 พ.ย. 65 เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ สน.ทุ่งสองห้อง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางพนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ ได้อนุญาตให้ประกันตัวนายบารมี ชัยรัตน์ อายุ 55 ปี และนายเจกะพันธ์ พรหมมงคล อายุ 46 ปี ในชั้นสอบสวนวงเงิน 20,000 บาท โดยมี พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผบก.น.2 พร้อมด้วย พ.ต.อ.มารุต สุดหนองบัว ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง ดำเนินการปล่อยตัวกรณีดังกล่าว ภายหลังผู้ต้องหาทำการแจ้งข้อกล่าวหา ม.215 ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และ ม.216 เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป ผู้ใดไม่เลิก รวมกับกลุ่มผู้ชุมนุมรายอื่นรวม 25 ราย นอกจากนี้ยังมีการเปิดบาดแผลที่ถูกทำร้ายบริเวณดังกล่าว
ด้านนายบารมี เปิดเผยว่า พวกเรายืนยันว่า ก่อนการชุมนุมมีการแจ้งว่าจะมีการชุมนุมดังกล่าวตามกฎหมายตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.-31 ธ.ค. บริเวณรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และก็มาแจ้งการชุมนุมบริเวณลานคนเมือง ทั้ง 2 แห่ง ได้รับการยืนยันว่าไม่ได้มีใครขัดขวางหรือห้ามแต่อย่างใด แต่ถึงไม่ได้รับการอนุญาตก็เป็นสิทธิ์ของเราอยู่แล้ว ส่วนเรื่องทางคดีได้มีการยื่นเงินสดประกันตัวคนละ 20,000 บาท โดยมีเงื่อนไขห้ามร่วมกิจกรรมและโฆษณาเชิญชวนทำกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งการชุมนุมเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว การตั้งเงื่อนไขไม่ชอบต่อรัฐธรรมนูญเป็นเงื่อนไขไม่ถูกต้องเราไม่จำเป็นต้องรับฟัง ยืนยันว่า ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี หลังจากนี้จะมีการนัดการชุมนุมทางการเมืองอีกครั้ง ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้ หากยอมเมื่อไหร่ พี่น้องกลุ่มอื่นอาจจะถูกวิธีการเดียวกันใช้อาจเป็นมาตรฐานทำร้ายผู้ชุมนุมต่อไปในอนาคต
ด้านนายเลิศศักดิ์ ธรรมคงศักดิ์ อายุ 53 ปี คณะทำงานราษฎรเอเปค 2022 กล่าวว่า ชุมนุมดังกล่าวตลอด 3 วัน มีการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ หลังประกาศยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยหลักการข้อกฎหมายดังกล่าวคือคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการชุมนุมสาธารณะ ไม่ว่าจะชุมนุมเพื่อร้องเรียนถึงความไม่เป็นธรรมต่าง ๆ เรามีการดำเนินการทำหนังสือแจ้งไปเพื่อให้ทราบว่าเราต้องการชุมนุมเพื่อให้ตำรวจเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องต้องดูแลคุ้มครองอำนวยความสะดวกในการชุมนุมทั้งความปลอดภัยและด้านการจราจรตามหลักสากล แต่สิ่งที่ตำรวจทำตลอดทั้งวันที่ผ่านมาคือมีการสกัดการชุมนุม ซึ่งกฎหมายการชุมนุมคือห้ามสกัดการชุมนุม หากจะสกัดการชุมนุมต้องร้องขอต่อศาล ตำรวจสกัดการชุมนุม 2-3 ด่าน และจะมาบอกว่าห้ามใช้ถนนบริเวณใดบริเวณหนึ่งไม่ได้ แต่หากติดขัดอย่างไรมีความจำเป็นต้องใช้สามารถแจ้งให้ทราบเพื่อแบ่งเวลากันได้ เพราะไม่ถนนเส้นไหนในประเทศไทยห้ามชุมนุมสาธารณะ รวมถึงการใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชน ต้องร้องขอต่อศาลก่อนทุกรายการ จะบอกว่าการชุมนุมมีความไม่ปลอดภัยอะไรหลายอย่างสามารถโต้กลับมาได้ ทางเราก็โต้กลับได้เช่นกัน แต่เมื่อวานทั้งวันตำรวจดำเนินการผิดหลักการหลายอย่างเหมือนอยู่ในบรรยากาศการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตำรวจบอกว่าถนนเส้นนี้เป็นสถานที่ราชการ แต่ข้อเท็จจริงตามรัฐธรรมนูญถนนเส้นนี้เป็นสถานที่สาธารณะ รวมถึงมาบอกเราห้ามให้หยุดชุมนุมในเวลา 11.00 น. แต่ตามกฎหมายบอกว่าชุมนุมได้ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก ยามวิกาลชุมนุมได้ ห้ามเคลื่อนย้ายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุ ทั้งนี้ การสกัดกั้นทุกทางเป็นการสกัดกั้นการใช้กระสุนยาง การเอาโล่ เอากระบองมาตีเราไม่ได้มีการร้องขอต่อศาลก่อน
ด้านนางสาวณัฐพร อาจหาญ อายุ 40 ปี กรรมการคณะกรรมการประสานงานองค์กรคณะกรรมการเอกชน (กป.อปช.) กล่าวว่า การชุมนุมดังกล่าวเราได้มีการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ 16-17 พ.ย.ที่ผ่านมา และวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา มีการแจ้งเพิ่มเติมว่าจะเคลื่อนขบวนของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทางเศรษฐกิจของการประชุมเอเปคหลายภาคของประเทศ แต่การปิดกั้นเส้นทางดังกล่าวเจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิ์ปิดเส้นทาง หากมีหมายศาลต้องแจ้งให้ทราบ ทางพวกเราไม่เห็นการดำเนินการดังกล่าว ขณะที่มาถึงแยกอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการใช้รถมาขว้างและใช้รถควบคุมฝูงชนปิดเส้นทาง มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากพร้อมจะปะทะ และพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงโดยไม่มีลำดับขั้นตอน มีการใช้โล่ดันทั้งที่มีชาวบ้านสมัชชาคนจนมีคนสูงอายุอยู่ด้านหลังไม่มีทั้งอาวุธไม่มีอะไรที่สามารถตอบโต้ได ทั้งที่ระหว่างนั้นกำลังพักกินข้าว
"เราขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหยุดการใช้การทุบตีด้วยกระบองดังกล่าวยืนหยุดเพื่อป้องกันคนอื่น ๆ แต่กลับถูกทุบเข้าที่ใบหน้าและถูกยิงด้วยกระสุนยาง มีน้องพายุโดนกระสุนยางเข้าที่ใบหน้า ทั้งที่ควรยิงสกัดแค่แขนและขา ถือเป็นภาวะใช้ความรุนแรงที่ละเมิดความเป็นมนุษย์ของเราอย่างที่สุด โดยที่ไม่รู้ว่าเขาคิดว่าเราเป็นอะไร ไม่มีขั้นตอน วิ่งกรูกันเข้ามาและมีการรุมกระทืบ รวมถึงนักข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่มีทางยอมได้อย่างเด็ดขาด สิ่งที่คุณทำกับพวกเราทั้งหมดมันเกินกว่ากฎหมาย โชคดีที่ได้สมัชชาคนจนเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมากที่เข้ามายืนเป็นแนวป้องกันให้ทุกคนไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้ามา พายุที่โดนยิงเข้าที่เบ้าตานั้น พยายามบอกคนอื่นไม่ให้วิ่งเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายจากคนข้างหลัง แต่สิ่งที่เขาทำคือยิงและก็เล็งโดนตาของพายุจนต้องสูญเสียดวงตา ยืนยันว่า ทางพวกเราไม่มีทางยอมรับเรื่องดังกล่าวอย่างแน่นอนและทำการฟ้องร้องให้ถึงที่สุด" นางสาวณัฐพร กล่าวทั้งน้ำตา