ลูกจ้างบริษัทในเครือ "ตู้ห่าว" ร้องเพจสายไหมต้องรอด หลังไม่ได้รับเงินชดเฉยค่าจ้างที่บริษัทปิดกิจการ และทำสัญญาจะชดเชยค่าแรงครึ่งหนึ่งของเงินเดือน แม้ศาลแรงงานพิพากษาแล้วก็ยังไม่จ่าย

นายจำปี อายุ 49 ปี อดีตลูกจ้างบริษัทในเครือของนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว นักธุรกิจจีนที่ตกเป็นผู้ต้องหา ได้ออกมาเรียกร้องผ่านเพจสายไหมต้องรอด บอกว่า ตนเอง ทำอาชีพคนขับรถรับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่อยู่ในเครือข่ายของบริษัทตู้ห่าว ทั้งร้านขายจิวเวลรี่ ขายเครื่องนอนยางพารา ขายวัตถุมงคล ขายของฝาก ขายรังนก เป็นต้น ซึ่งบริษัททั้งหมดมีเจ้าของเป็นคนไทยที่เป็นนอมีนี ให้กับนายตู้ห่าว

นายจำปี บอกว่า ตนเองได้เข้ามาทำงานกับนายตู้ห่าว ตั้งแต่ปี 2560 ก่อนหน้านั้นก็ทำงานปกติได้รับเงินเดือนและค่าตอบแทนพิเศษ รวมๆ แล้วประมาณ 3 หมื่นบาทต่อเดือน จนกระทั่ง ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ทางบริษัทได้ออกประกาศปิดบริษัทชั่วคราว และจะชดเฉยค่าแรงงานให้กับลูกจ้างเดือนละ 4,500 บาท (ครึ่งหนึ่งของเงินเดือน) จนกว่าจะกลับมาเปิดบริษัท แต่หลังจากประกาศออกมา ลูกจ้างได้เงินเพียงแค่ 1 เดือน จากนั้นบริษัทก็ไม่จ่ายอีกเลย โดยลูกจ้างประมาณ 30 คนได้รวมตัวกันไปแจ้งความและร้องทุกข์ที่แรงงานจังหวัด และได้ไปร้องยังศาลแรงงานจังหวัด จนศาลแรงงานได้พิพากษาให้บริษัทชดเชยค่าตอบแทนให้กับพนักงานที่มาร้องทั้งหมด แม้ว่าศาลจะพิพากษาออกมาแล้ว แต่ก็ไม่มีการชดเชยใดๆ

นายจำปี ยังบอกอีกว่า นอกจากเงินเดือนที่ไม่ได้แล้ว ยังมีเงินประกันที่ถูกบริษัทหักจากเงินเดือน เดือนละ 1 พันบาท จนครบ 2 หมื่นบาท ที่บริษัทอ้างว่าเป็นเงินประกันการทำงาน ซึ่งพนักงานได้ทวงถามเงินดังกล่าว ก็บอกว่า ไม่สามารถให้ได้ ถ้าอยากได้ให้ไปฟ้องร้อง ซึ่งทางลูกจ้างหลายคนเป็นคนไทยที่มาจากต่างจังหวัด และไม่ได้มีความรู้ด้านกฎหมาย ในเมื่อศาลแรงงานตัดสินแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เงินตัวเอง ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว

นอกจากนี้ ยังบอกอีกว่า มีแรงงานอีกหลายร้อยคนที่ไม่กล้าไปฟ้องร้องเพราะไม่มีความรู้ อีกทั้งยังถูกภรรยาที่เป็นตำรวจของนายตู้ห่าวข่มขู่ว่า “หากใครไปฟ้องร้อง จะจัดหนักให้” ก็ทำให้ลูกจ้างหลายคนกลัวและไม่กล้าที่จะไปร้องเรียนที่ไหน

ขณะที่ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด บอกว่า จะรวบรวมจำนวนลูกจ้างที่ไม่ได้เงินค่าจ้าง และถูกข่มขู่ ไปร้องยังกระทรวงยุติธรรม ให้ช่วยในการดำเนินการในการบังคับคดี อยากให้คุ้มครองพยานเพราะคู่กรณีเป็นคนที่มีอิทธิพล อีกทั้งยังมองว่า การที่บริษัทไม่ยินยอมคืนเงินค่าประกันการทำงานที่หักจากเงินเดือนของลูกจ้างไป คนละ 1 พันยาททุกเดือนนั้น เข้าข่ายฉ้อโกงอีกด้วย และได้ฝากไปถึงลูกจ้างคนใดที่เคยทำงานและถูกยกเลิกสัญญาและไม่ได้รับเงินค่าจ้างให้มาพบตนเอง