บิ๊กโจ๊กยันคดีนายทุนจีนสีเทา ทำคดีตรงไปตรงมา ย้ำชัดฟันไม่เลี้ยงหากพบตำรวจทำผิด แม้เป็นรุ่นเดียวกันก็ตาม

ภายหลังจากที่ช่วงเช้าที่ผ่านมา ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท่องเที่ยว หน่วยปฏิบัติการพิเศษ และฝ่ายปกครอง บูรณาการร่วมแบ่งกำลังเป็น 19 ชุด นำหมายศาลออกปฏิบัติการปิดล้อม ตรวจค้น เป้าหมาย ยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย และเป้าหมายสำคัญที่มีส่วนในกระบวนการที่ดำเนินการรับรองการออกวีซ่าให้ชาวจีน โดยเปิดเป็นมูลนิธิไม่แสวงหาผลกำไรบังหน้า

การปฏิบัติการครั้งนี้แบ่งเจ้าหน้าที่ออกเป็น 19 ชุด กระจายกำลังออกไปดำเนินการพร้อมกัน 19 จุด ในพื้นที่อำเภอ เมือง สารภี สันทราย หางดง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมูลนิธิครีเอทิ่งบาลานซ์ ตำบลป่าบง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเป้าหมายใหญ่ที่เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการเนื่องจากสืบทราบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับรองการออกวีซ่าให้กับชาวจีนกว่า 300 ราย ในรูปแบบอาสาสมัครมูลนิธิ และเป็นเครือข่ายเดียวกันกับมูลนิธิอีกหลายแห่ง ที่ทางเจ้าหน้าที่ต้องทำการขยายผลต่อไป

ล่าสุดช่วงเย็นวันนี้ (9 ธ.ค.65) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้เดินทางมาแถลงข่าวผลการตรวจค้นภายหลังจากที่ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนประสานความร่วมมือไปยัง บช.น. บช.ภ.1 บช.ภ.2 บช.ภ.3 บช.ภ.4 บช.5 บช.ภ.7 สตม. และ บช.ทท. เปิดปฏิบัติการเข้าค้นเป้าหมายที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสิ้น 53 จุด อยู่ใน 18 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ นครปฐม ชลบุรี เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ ลำพูน น่าน หนองบัวลำภู กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา ยโสธร อำนาจเจริญ ขอนแก่น และอุดรธานี

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่าการขยายผลจับกุมกลุ่มทุนจีนสีเทาที่ใช้คนไทยเป็นนอมินีในการทำธุรกิจในไทย ทำให้พบแผนประทุษกรรมที่เป็นรูปแบบใกล้เคียงกันของกลุ่มดังกล่าว โดยพบว่ากลุ่มดังกล่าวจะใช้เหตุผลในการขออยู่ต่อในราชอาณาจักรไทยโดยอ้างเหตุจากการศึกษา หรือเป็นอาสาสมัครมูลนิธิต่างๆ ทั้งที่ความเป็นจริงไม่ได้มีการดำเนินการตามที่กล่าวอ้าง ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจสอบกลุ่มเอเจนซี่เหล่านี้ เพื่อมิให้คนไม่ดีใช้เป็นเครื่องมือหรือเป็นช่องทางในการอยู่อาศัยเพื่อกรกระทำความผิดในประเทศไทยเราได้ นอกจากนี้จะมีการตรวจสอบถึงเจ้าของหรือผู้เปิดมูลนิธิหรือสถานที่เหล่านี้ รวมทั้งตรวจสอบเส้นทางการเงินด้วยว่า ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทุนจีนสีเทาหรือไม่ หากพบการกระทำความผิดจะขยายผลจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

นอกจากนี้จากการเข้าตรวจค้นบ้านพักหลังหนึ่ง ต.สันกลาง อ.สันป่าตอง จว.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านพักของนายนี่ ยี่โป เอเย่นต์รับต่อวีซ่าให้กลุ่มชาวจีน โดยการขอวีซ่าประเภทมูลนิธิผ่านมูลนิธิแห่งหนึ่ง ซึ่งมีนายวรกฤต เป็นประธานมูลนิธิ ได้มีการตรวจพบว่านายนี่ ยี่โป สวมสิทธิ์ชื่อของนายกรกฤต แสดงตนเป็นพ่อของลูกสาวตัวเอง เพื่อให้ได้สัญชาติไทย จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับนายนี่ ยี่โป และภรรยา ในความผิดฐาน ร่วมกันทำ ใช้หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือกระทำการเพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นมีชื่อ หรือมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านหรือเอกสารการทะเบียนราษฎร์อื่นโดยมิชอบ ตาม พ.ร.บ. การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 มาตรา 50 ประกอบ ป.อาญา มาตรา 83 ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ตาม ป.อาญามาตรา 137 83 และ ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ตาม ป.อาญา ต่อ พงส. สภ.ช้างเผือก ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ขณะเดียวกันบิ๊กโจ๊ก ได้เดินทางมาสอบสวน นายเน็ต อายุ 44 ปี ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตัวมาสอบปากคำภายหลังจากที่มีชื่อเป็นประธานมูลนิธิแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่โดยมีพฤติการคือ จะเปิดมูลนิธิแล้วรับอาสาสมัครคนจีนจากนั้นก็จะออกวีซ่าอาสาสมัครให้ จากการสอบถามนายเน็ตได้ให้การว่า ทำในลักษณะดังกล่าวมาประมาณ 6 ปี ปีนึงจะทำวีซ่าให้กับชาวจีนประมาณ 20-30 คน คิดค่าบริการคนละประมาณ 25000 - 30000 บาท โดยจะนำไปติดต่อเอเจนซี่ของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง
ซึ่งในเรื่องนี้ ทางรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ได้ เน้นย้ำกับผู้สื่อข่าวว่าเจ้าหน้าที่คนไหนที่มีส่วนในการกระทำความผิดของผู้ต้องหา ไม่ว่าจะชั้นยศอะไรก็ตามก็ต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมด และที่สังคมเป็นห่วงก็คือมีเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 47 รุ่นเดียวกับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขอให้สบายใจได้ทุกอย่างต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา หากตำรวจทำผิดก็ต้องได้รับโทษทั้งทางอาญาและทางวินัยจะไม่มีการช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้นขอให้ประชาชนมั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ