"รองต่อ" ปูพรม 6 จุด เปิดปฎิบัติการตัดวงจรซิม-สาย-เสา สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ก่อนเปิดปฎิบัติการซิม-สาย-เสา ตัดวงจรขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงคนไทย โดยปูพรมตรวจค้น 6 จุด ในอ.อรัญประเทศ
โดยจุดที่น่าสนใจ คือการนำกำลังเข้าตรวจสอบสำนักงานบริการลูกค้าของผู้ให้บริการเครือข่ายรายหนึ่ง ในอ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อตรวจสอบการได้รับอนุญาตพาดสายสื่อสารข้ามไปยังประเทศกัมพูชา จากนั้นจึงเดินทางไปตรวจสอบจุดพาดสายสื่อสารข้ามไปประเทศกัมพูชาที่บริเวณด้านหลังสถานีรถไฟบ้านคลองลึกชายแดน อ.อรัญประเทศ ซึ่งอยู่ข้างสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา ด่าน ตม.อรัญประเทศ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก
จากการตรวจสอบพบสายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ที่พาดจากฝั่งประเทศไทยบริเวณเสาไฟฟ้าแรงสูง ริมคลองลึก (คลองกั้นพรมแดน) หลังสถานีรถไฟบ้านคลองลึก ซึ่งอยู่ข้างสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา ข้ามคลองลึกไปเชื่อมต่อในฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา พบว่ามีกว่า 30 เส้น ซึ่งจะมีคู่สายสื่อสารหรืออินเตอร์เน็ตรวมกว่า 1 หมื่นคู่สาย ซึ่งจากแนวทางสืบสวนเชื่อว่าถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้เป็นช่องทางหากินหลอกลวงคนไทย
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ สืบเนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ ได้ทำการตรวจสอบพบว่ามีการลักลอบใช้สัญญาณเครือข่ายเคเบิล ในลักษณะส่งสัญญาณออกไป ในประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนจะทำเป็นลักษณะของขบวนการแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์หลอกลวงประชาชน โดยมีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก ซึ่งรายล่าสุดมีการแจ้งความดำเนินคดีไว้ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีโดยในกรณีนั้นทางชุดสืบสวนได้ ขยายผลจนพบว่ามีการปล่อยสัญญาณข้ามไปปรากฏอยู่ที่บริเวณดังกล่าว จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินการออกหมายค้นและหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้อง
โดยในวันนี้ได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานเปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นจุดที่มีการปล่อยสัญญาณ และจุดบริเวณชายแดนที่มีการต่อเชื่อมสัญญาณไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในจำนวนนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐรวมอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตามปฏิบัติการดังกล่าวหนึ่งในกระบวนการที่จะนำไปสู่ตัดวงจรขบวนการคอลเซ็นเตอร์ให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะเน้นในเรื่องของการตัดวงจร ซิม-สาย-เสา ซึ่งในส่วนของซิม ได้มีการปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นกวาดล้างโดยได้ตรวจยึดซิมโทรศัพท์มากกว่า 2 แสนเบอร์ ส่งผลให้สถานการณ์ลดลงไปกว่าร้อยละ 25 แต่สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือเรื่องของสายและเสา ซึ่งสามารถตัดสัญญาณที่มีการลักลอบลงได้ก็จะทำให้สถานการณ์เบาลงได้เยอะ
"การที่ติดตามจับกุมบัญชีม้า ติดตามเงินให้ผู้เสียหาย ตลอดจนการอายัดบัญชีที่ใช้ในการก่อเหตุ อาจเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เนื่องจาก ปัจจุบันพบแผนประทุษกรรมว่า ทันทีที่คนร้ายสามารถที่จะหลอกเอาเงินของผู้เสียหายได้ก็จะถูกถ่ายโอนไปสู่บัญชีเงินสกุลดิจิตอล ซึ่งติดตามทวงคืนได้ยาก ตลอดจนที่ผ่านมาพบว่าผู้เสียหายหลายราย เป็นข้าราชการบำนาญแต่กลับถูกคนร้ายหลอกลวงนำเงินก้อนสุดท้ายที่มีอยู่ไป หรือไม่เว้นแม้แต่พี่น้องประชาชนที่หาเช้ากินค่ำต้องมาตกเป็นเหยื่อของขบวนการดังกล่าว จึงได้สั่งการให้บช.สอท. กำหนดมาตรการเชิงรุกในการตัดวงจรของขบวนการดังกล่าวตั้งแต่ต้นทาง ทั้งนี้เพื่อเป็นการตัดโอกาสในการกระทำความผิดโดยนำมาตรการซิม-สาย-เสา มาใช้ อย่างไรก็ตามจากการสืบสวนพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลว่ามีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องอย่างไร โดยมอบหมายให้กับบก.ปปป. เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการตามมาตรา 157 ต่อไป และหากพบว่าใครมีส่วนรู้เห็นต่อการกระทำความผิด เป็นตัวการในการสนับสนุนก็จะต้องดำเนินการตามม.83 อีกด้วย" พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าว
มีรายงานว่าในวันพรุ่งนี้(15 ธ.ค.)เวลา 14.00 น. ที่บช.สอท. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ พร้อมชุดจับกุม จะแถลงผลการจับกุมขบวนการดังกล่าวต่อไป