สั่งย้าย "ประสิทธิ์ เจียวก๊ก" ขังเดี่ยวที่เรือนจำบางขวาง ห้ามเยี่ยมเด็ดขาด ด้านเลขาฯยุติธรรม เผยขีดเส้น 7 วัน มีเจ้าหน้าที่สมรู้ร่วมคิดหรือไม่
จากกรณีนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก จำเลยในความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ได้วางแผนหลบหนีขณะออกไปศาลอาญาระหว่างพิจารณาคดี โดยออกอุบายขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำ เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมจึงนำตัวนายประสิทธิ์ ไปเข้าห้องน้ำสำหรับผู้มาติดต่อราชการที่บริเวณชั้น 9 ซึ่งในห้องน้ำมีผู้นำเสื้อผ้า ชุดลำลองพร้อมกุญแจไขเครื่องพันธนาการมาให้นายประสิทธิ์เปลี่ยนเพื่อหลบหนี แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้วิ่งติดตามจับกุมตัวได้ที่บริเวณบันได ชั้น 3
ล่าสุด ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นำทีมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบภายในเรือนจำคลองเปรม ก่อนตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงปมประเด็นร้อน โดยระบุว่า กระทรวงยุติธรรมขออภัยที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ที่นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก แหกหักหลบหนี ภายในศาลอาญารัชดา
โดยรมว.ยุติธรรม ให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ว่ามีเจ้าหน้าที่คนไหนเกี่ยวข้อง โดยขีดเส้นการตรวจสอบ 7 วัน
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีแผนการทำงานในเชิงรุก รมว.สั่งการเพิ่มเติม นำรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ ผบ.เรือนจำคลองเปรม และ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ พร้อมกันนี้ ยืนยันว่า เราไม่มีทางทำให้เจ้าหน้าที่เกิดหการทุจริตอย่างแน่นอน ซึ่งที่ผ่านมาหากมีใครทำทุจริต ก็มีการลงโทษหนักเบา
นอกจากนี้ ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมานายประสิทธิ์ ไปศาลเป็นประจำ จึงเห็นช่องทางการออกไปศาล จึงคิดเรื่องการแหกหักหลบหนีมาดดยตลอด แต่เจ้าหน้าที่ก็หาทางป้องกันอย่างรอบคอบมาดดยตลอด
โดยประสิทธิ์ ถูกต้องขังที่คลองเปรม แต่เมื่อต้องไปขึ้นศาล จะให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมารับตัว ซึ่งตรงนี้จะเห็นได้ว่า ตัดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังได้ชัดเจน
แต่สิ่งที่มีปัญหา พบว่าการเก็บอุปกรณ์ยังเป็นของเก่า และยังล็อกแบบธรรมดา ที่มีการเก็บกุญแจเครื่องพันธนาการที่ออกศาล
เวลาที่มีการนำตัวผู้ต้องขัง ออกจากเรือนจำ ก็จะมีผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นผุ้ต้องขังในเรือนจำ 1 คน ซึ่งจะเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ 1 นายเป็นพัสดี ผู้ต้องขัง 3 ราย ใช้เวลา ในการตรวจค้นร่างกาย 1 คนใช้เวลาไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง
โดยบริเวณที่ใกล้ๆกล่องนั้น จะเป็นที่นั่ง ซึ่งนายประสิทธิ์จะนั่งรอตรงนั้น โดยเจ้าหน้าที่จะแขวนกุญแจแขวนใกล้ๆ ก่อนปิดล็อก โดยมี 2 ลุกกุญแจ
ตอนนี้ยังมีเรื่องสงสัย โดยนำตัวผู้ควบคุม และ ผู้ช่วย
ยอมรับกำลังเจ้าหน้าที่มีน้อย ไม่เพียงพอผู้ต้องขังที่มีจำนวนมาก มีข้อสังเกต มีส่วนรู้เห็นการหยิบลูกกุญแจหรือไม่
ลูกกุญแจเป็นพวง ใช้เวลาไม่เกิน 20 วินาทีปลดลูกกุญแจได้ เบื้องต้นได้นับลูกกุญแจ พบว่าหายไป 1 เหลือเพียง 4 ดอก โดยในช่วงเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พัสดีอยู่ระหว่างการค้นตัวผู้ต้องขังอีก 2 คน โดยได้สอบสวนผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
ทางการสอบสวน คาดว่า นายประสิทธิ์ อาจจะอมลูกกุญแจไว้ในปาก เพราะลูกไม่ใหญ่ ที่ผ่านมา นายประสิทธิ์เป็นคนฉลาด และจะชอบพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ แต่ในวัเกิดเหตุ กลับพูดจาน้อยกว่าปกติ ประกอบกับใส่แมสก์ ทำให้ยากแกการสังเกต
ในเบื้องต้น เชื่อว่า เจ้าหน้าที่ไม่น่าจะมีส่วนร่วมในการช่วยนายประสิทธิ์ทำผิด
พร้อมยืนยัน ว่าในเรือนจำไม่สามารถใช้เงินได้ โดยประสานดีเอสไอ ตรวจสอบเส้นทางการเงินของเจ้าหน้าที่ในห้วงก่อนหน้านี้ ว่ามีการให้เงินเพื่อช่วยเหลือหรือไม่
ก่อนหน้านั้น คุณอี้ แทนคุณ ยื่นหนังสือร้องเรียน โดยได้มีการตรวจสอบเอกสารย้อนหลัง 230 ฉบับของนายประสิทธิ์ ในช่วงที่อยู่ในเรือนจำ เป็นเอกสารที่ออกมาได้ ผ่านระบบคิวอาร์โคด เปิดผนึกเจ้าหน้าที่สามารถมองเห็นได้ ยกเว้นแต่เป็นเอกสารร้องเรียนไปยังหน่วยงาน จะเป็นเอกสารปิดผนึก เจ้าหน้าที่จะไม่เห็น ซึ่งเอกสารไม่เห็นความผิดปกติ
ภายหลังจากที่นำตัวไปที่ศาล ซึ่งเป็นวันนัดพยาน นายประสิทธิ์แจ้งเจ้าหน้าที่ปวดท้องหนักอย่างแรง แต่ปกติจะต้องนำไปเข้าห้องน้ำที่ใต้ถุนศาล แต่กรณีนี้ปวดท้องเร่งด่วน เจ้าหน้าที่จึงนำตัวไปในห้องน้ำที่ประชาชนปกติใช้ได้ เจ้าหน้าที่มีภาพจำผู้ต้องขังมีพันธนาการ สวมชุดผู้ต้องขัง สวมแมสก์ ปรากฏว่า นายประสิทธิ์เดินก้มหน้าออกมา และรีบหนีไป เจ้าหน้าที่จึงเอะใจ ไปตรวจสอบ พบว่านายประสิทธิ์หนีไป ก่อนประสานเจ้าหน้าที่ช่วยสกัดจับได้ที่ชั้น 3
แต่ในเวลานี้กรมราชทัณฑ์อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ว่าเจ้าหน้าที่บกพร่องในจุดใดบ้าง ซึ่งนายประสิทธิ์เตรียมตัวมาดีมาก มีกล่องแว่นตา เตรียมเอาหนวดมาติดด้วย เพื่อใช้ในการพรางตัว ยอมรับว่าการใส่แมสก์ทำให้ยากแก่การสังเกต ยืนยัน ว่ามีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์อยู่ในที่เกิดเหตุ
ล่าสุด กรมราชทัณฑ์ มีคำสั่งย้ายนายประสิทธิ์ ไปคุมขังที่เรือนจำบางขวาง พร้อมตีตรวน แยกขัง เพราะเป็นมาตรการลงโทษ เพราะมอเตอร์ 24 ชั่วโมง เพราะเกรงผู้ต้องขังจะเกิดความเครียด รวมทั้งห้ามเยี่ยม เนื่องจากการกระทำดังกล่าว เป็นการกระทำที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก อาจจะมีห้วงเวลา ในการส่งสัญญาณ ช่วยเหลือ
และหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รู้เห็นร่วมมือด้วย กระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ไม่เอาไว้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยเฉพาะการควบคุมคนมีชื่อเสียง จะจับตามากเป็นพิเศษ
ขอยืนยันว่า การจับกุมนายประสิทธิ์ เป็นเจ้าหน้าที่จากเรือนจำ โดยจะกำชับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง