"ชูวิทย์" แนะจับตาคดี "ตู้ห่าว" หวั่นซ้ำรอย "คดีหลงจู๊สมชาย" ที่โดนข้อหาอ่วมอรทัย แต่ตอนจบกลับเดินออกจากคุกอย่างบริสุทธิ์ เพราะสำนวนส่งอัยการ "หลักฐานอ๊อน อ่อน"
วันที่ 24 ธ.ค.65 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัวเปรียบเทียบคดีหลงจู๊ กับ ตู้ห่าว ว่า "หลงจู๊ กับ ตู้ห่าว
คดีหลงจู๊สมชาย เป็นข่าวดังเมื่อปีที่แล้ว เพราะตำรวจจับกุมบ่อนการพนัน และขยายผลยึดอายัดทรัพย์สินได้มากมาย
หล๊งจู๊ โดนอ่วมอรทัยในช่วงแรก ทั้งข้อหาการพนัน และตามด้วยสูตรมูลฐาน “ฟอกเงิน” ตามยึด อายัดกันจ้าละหวั่น แต่เมื่อสำนวนส่งอัยการ และไปสู้คดีกันที่ศาล กลับตกม้าตายตอนจบ ศาลยกฟ้อง โดยบอกว่า “หลักฐานอ่อน”
คดีตู้ห่าวเช่นเดียวกัน ตอนแรกก็โดนรุมทึ้ง มามอบตัว โดนจับเข้าคุก คัดค้านการประกันตัว จากนั้นก็มาเป็นระลอก ขุดโน่น คุ้ยนี่
ผมถึงย้ำนักย้ำหนาว่า อยู่ที่พยานหลักฐานใน “สำนวน” ที่ดูมั่นใจตอนแรก เป็นผู้ร้ายอย่างหลงจู๊ และตู้ห่าว
คอยดูตอนจบ กลายเป็นหนังคนละม้วน พระเอกตกม้าตาย ส่วนผู้ร้ายกลับมาเป็นพระเอก เดินออกจากคุกอย่างบริสุทธิ์ เพราะคนพวกนี้เป็นคนรวย ที่สามารถจ้างทนายฝีมือดี เมื่อขึ้นต่อสู้คดีในศาล ใช้พยานหลักฐานในการสู้ ไม่ใช่ใช้ปาก หรือยศตำแหน่ง
ผมจึงคอยตามจิกตามจี้ และหาทางอุดรอยรั่ว สิ่งที่ผมต้องไปตาม ไม่ว่าร้องอัยการสูงสุด ดีเอสไอ เป็นคดีอาชญากรรมข้ามขาติ หรือมูลฐานฟอกเงิน
เพราะผมมองเห็นสิ่งผิดปกติตั้งแต่ต้น ของคดี “ตู้ห่าว” เริ่มจาก เอา รปภ. จับเป็นผู้ต้องหา ขังแล้วเอากลับมาเป็นพยาน ปล่อยผู้ต้องหาคนสำคัญ หรือปล่อยรถของกลาง ด้วยน้ำมือของตำรวจสมคบคิดกันเอง ตลอดจนการไม่ตั้งข้อหา “ฟอกเงิน” ตั้งแต่ต้น
.
แม้ว่า ผบ.ตร. จะรับปากผมวันนี้ว่า อย่างไร ตำรวจ อัยการ ก็ต้องตั้งอยู่แล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปแต่ละวัน มันหมายถึงการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน ยิ่งช้า ประชาชนยิ่งเสียหาย แทนที่จะจับอายัด กลายเป็นว่าแค่วันสองวัน เหลือเงินติดอยู่ในบัญชีแค่แสนเดียว นี่ผ่านไปจากวันเป็นเดือนแล้ว หากท่าน ผบช.น. เลือกทางนี้ตั้งแต่ต้น
ก็คงไม่เหนื่อยอย่างทุกวันนี้ ตู้ห่าวมันจบไปแล้วครับท่าน ไม่มีใครช่วยได้ เพราะเหมือนหมาหัวเน่า
แต่อย่าเบาใจไปนะครับ เหมือนหลงจู๊สมชาย ทำไปทำมากลายเป็นหัวราชสีห์ เพราะสำนวนของตำรวจ อ๊อน อ่อน"