"ซานต้าป๋าชู" สงสัยจับแก๊งจินหลิง 26 ต.ค. แต่ทำไมเข้าตรวจค้นอีกรอบ 1 พ.ย. รออะไรถึง 5 วัน? ทำไมเพิ่งแจ้งข้อหาฟอกเงิน หลังผ่านมาเกือบ 2 เดือน แนะ ผบ.ตร. ปลด "ผบช.น." ทำหน้าที่ไม่โปร่งใส ชี้พฤติกรรมเอื้อประโยชน์ "ตู้ห่าว"
วันที่ 25 ธ.ค.65 เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ โรงแรม เดอะเดวิส สุขุมวิท 24 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง เปิดแถลงข่าว "รับวันคริสต์มาส" เพื่อมอบของขวัญเป็นคำถาม ให้กับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและผู้บัญชาการตำรวจนครบาล โดยนายชูวิทย์ ระบุว่า ในส่วนของการทำสำนวนคดีของตำรวจ เปรียบเหมือนการปรุงอาหาร ที่ตำรวจเป็นคนปรุงและส่งให้อัยการชิม ก่อนเสิร์ฟให้ศาลเพื่อตัดสินว่า อร่อย (ลง) หรือ ไม่อร่อย (สำนวนอ่อน ยกฟ้อง) ซึ่งขณะนี้ตนเองมองว่าการทำคดีนี้ เป็นการสมคบคิดร่วมกันทำ มีการทำอาหารจานนี้ หรือสำนวนคดีมีความหละหลวม ไม่รัดกุม มีหลายประเด็นที่มีข้อสงสัย หากปล่อยให้สำนวนคดีนี้ไปถึงชั้นศาล ย่อมอาจเป็นช่องว่างให้ทางทนายความฝั่งจำเลยใช้ช่องเหตุแห่งความสงสัยต่าง ๆ สู้คดี
ที่ผ่านมาตนเองออกมาพูดเรื่อง การเอาผิดกับกลุ่มผู้ต้องหาโดยเฉพาะนายตู้ห่าว ในเรื่องของการฟอกเงินมาตลอดแต่ทางตำรวจได้มีการดำเนินการมีการปล่อยทิ้งระยะเวลาไปนานถึงสองเดือน จึงจะเริ่มมีการแจ้งข้อหาเมื่อวานนี้ ซึ่งในเรื่องของทรัพย์สินตนเองตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะมีการยักย้ายถ่ายเทไปแล้วหลายส่วน โดยหากมองจากไทม์ไลน์ลำดับเหตุเหตุการณ์ วันที่ 26 ตุลาคม เป็นวันเข้าจับกุมตรวจค้น จินหลิง จับตู้ห่าว 22 พฤศจิกายน จนมาเมื่อวานวันที่ 24 ธันวา พึ่งจะมีการแจ้งเรื่องฟอกเงิน กับผู้ต้องหาแต่ไม่มีการแจ้งกับนายตู้ห่าว แต่อย่างใด
ส่วนคำถามในข้อแรกที่ตนเองอยากให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลตอบคำถามต่อสังคมคือ การเข้าค้นรอบแรกวันที่ 26 ต.ค. ได้ของกลางจากจินหลิง และลีลา รวมยาเสพติดกว่า 4.5 กิโลกรัม แต่ไม่เข้าค้น วิบวับคาร์วอส ทั้งที่เป็นบ้านเลขที่เดียวกัน ตั้งอยู่ในรั้วเดียวกัน แต่กลับมาค้นที่วิบวับคาร์วอส อีกครั้งในวันที่ 1 พ.ย. เวลา 17.00 ถึง 18.00 น. ค้นพบของกลางยาเสพติด 950 กรัม ทำไมจึงไม่ทำการค้นตั้งแต่วันแรกที่เข้าค้น เพราะมีการลงเวลาการค้นเพียง 1 ชั่วโมง
เพราะตนเองมองว่า วิบวับคาร์วอส เป็นคลังในการเก็บยาเสพติดส่วนจุดที่ค้นในวันที่ 26 ต.ค. เป็นเพียงจุดขายปลีก ดังนั้นตนเองเชื่อว่าการทิ้งไว้นานถึง 5 วันเป็นช่องให้มีการยักย้ายถ่ายเทยาเสพติดออกจากพื้นที่ แม้จะมีการอ้างว่ามีการส่งกำลังตำรวจเข้าไปปิดล้อมพื้นที่แต่พบว่าเป็นเพียง สิบตำรวจสองคนที่เข้าไปดูแลสถานที่ อีกทั้งสำเนาบันทึกของกลางที่เข้าตรวจค้นในวันที่ 26 ต.ค. ก็สูญหายที่ สน.ยานนาวา จนถึงขณะนี้ยังไม่พบเอกสารดังกล่าว
การที่ผ่านมานานกว่าห้าวันเป็นการจงใจทำให้เกิดสิ่งใดหรือไม่ จุดนี้เป็นประเด็นที่ตนเองในฐานะประชาชนสามารถตั้งคำถามได้และผู้บัญชาการตำรวจนครบาลต้องตอบคำถามในประเด็นนี้ให้ได้อย่างชัดเจน เพราะการทิ้งระยะเวลาผ่านไปถึงห้าวันอาจส่งผลกระทบกับตัวสำนวนคดีอย่างมาก
คำถามข้อที่ 2 วันเข้าค้น วันที่ 26 ต.ค. เลขคดี 794/2565 ไม่มีการลงระบบ Crime ซึ่งเป็นระบบ ฐานข้อมูลสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ในวันเข้าค้นวันที่ 1พฤศจิกายน เลขคดี 803/2565 กลับมีการลงบันทึก เป็นการเข้าค้นในวันที่สองพฤศจิกายนซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
อีกทั้งการเข้าค้นในวันที่ 1 พฤศจิกายนตำรวจพบหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด ปรากฏภาพของนายเหมาหยาง ว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในสถานที่ดังกล่าวแต่ตำรวจกลับไม่มีการดำเนินการใดใดกับนายเมาหยางทั้งทั้งที่สถานที่ดังกล่าวมีการตรวจพบยาเสพติด และกลับลงในระบบฐานข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าไม่พบผู้กระทำความผิดในวันเข้าตรวจค้น
พร้อมกันนี้ตนเองยังฝากถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่าหากไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะถูกเขย่าสั่นไหว ตนเองจึงขอแนะนำให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งให้มีการเปลี่ยนตัวและหาคนอื่นมาทำงานแทน
เนื่องจากตนเองเชื่อว่าสุดท้ายหากยังคงปล่อยให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนนี้เป็นผู้รับผิดชอบในการทำคดี จะเหมือนคดีของหลงจู๊ สมชาย ที่ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนนี้เคยทำสมัยที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคสองที่ขณะนั้นมีการเข้าตรวจค้นยึดทรัพย์สินอย่างเอิกเกริกแต่สุดท้ายศาลยกฟ้องโดยให้เหตุผลถึงหลักฐานของทางตำรวจอ่อนเกินไป เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ในหลายหลายเรื่องพบว่ามีความบกพร่องในสำนวนคดีอย่างมากมาย
ต่อจากนี้ตนเองเตรียมจะเข้าพบอัยการที่รับผิดชองสำนวนของ ดีเอสไอ ที่มีการตรวจพบว่า พัชรินทร์ มีการรับโอนเงินกับกลุ่มคอลเซ็นเตอร์หลายล้านบาท เพื่อติดตามการทำงานในประเด็นนี้
ก่อนจะจบการแถลงข่าวยังมีการเกริ่นว่าในการแถลงครั้งต่อไปตนเองจะชี้แจงว่าเหตุใดตนเองถึงยืนยันมาตลอดว่า เป็นคดีนอกราชอาณาจักร เพราะมีการวางแผนในประเทศจีน ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร รอติดตามตอนต่อไป