"แรมโบ้" เปิดใจยาวๆ เหตุลาออกจากเทิดไท กลับคืนรัง "รวมไทยสร้างชาติ" ปกป้องสถาบันฯ-หนุน "บิ๊กตู่" เป็นนายกฯต่อ เคลียร์ชัด! ไม่เคยอกตัญญู"ทักษิณ" ไม่เคยมีบุญคุณ ชี้แรมโบ้เองต่างหากที่มีบุญคุณกับทักษิณ ช่วยหาเสียงจนได้เป็นส.ส.ครั้งแรกในชีวิต
วันนี้ (27 ธ.ค.) นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ "แรมโบ้" อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เปิดใจต้องย้ายจากพรรคเทิดไท กลับพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่าเริ่มต้นเดิมทีคำว่า รวมไทยสร้างชาติ เป็นมอตโต้ของท่านนายกฯพลเอกประยุทธ์ ท่านได้พูดไว้ในหลายเวที ซึ่งตนมองว่า "รวมไทยสร้างชาติ" เป็นคำที่มีความหมายและมีพลังมาก สะท้อนความสมัครสมานสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียวของพี่น้องคนไทย ที่จะนำพาประเทศชาติบ้านเมืองไปด้วยกัน
และที่สำคัญผมคิดว่าท่านนายกฯพลเอกประยุทธ์ ถูกการเมืองบีบกดดันมากเกินไปทั้งจากภายในและภายนอก เวลานั้นผมจึงคิดว่าควรมีพรรคการเมืองไว้รองรับหากเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต และปัจจุบันก็เกิดขึ้นจริงๆแบบที่ผมคิดไว้จริงๆ"
นายเสกสกล เล่าต่อว่าจุดยืนพรรครวมไทยสร้างชาติ ในช่วงเริ่มต้นชัดเจนคือ ปกป้องสถานบันหลักของชาติ และสนับสนุนท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ไขความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน และปัญหาประเทศชาติบ้านเมือง และวันนี้จุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติที่มีนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันก็ยังมั่นคงเหมือนเดิม เพราะนายพีระพันธ์เป็นคนดี เป็นคนเก่งมีฝีมือ มีประสพการณ์ทางการเมืองมากมาย ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย จึงเหมาะสมอย่างยิ่งจะเป็นแม่ทัพคู่ใจเคียงคู่ท่านนายกฯพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
อย่างไรก็ตามต่อมาได้เกิดกรณีคลิปเสียงของตน ตามที่ปรากฎเป็นข่าวไปแล้วนั้น ซึ่งตนยืนยันความบริสุทธ์ใจมาตลอด สิ่งที่ตนพูดในคลิปเสียงนั้นเป็นแค่การพูดกระเซ้าเย้าแหย่ล้อกันเล่น กับน้องนุ่งที่สนิทสนมกันมานับสิบปีกว่าปีซึ่งคนใกล้ชิดตนจะรู้ดี และที่สำคัญตนพร้อมเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง และตนจึงได้ลาออกจากตำแหน่ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี และลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ
นายเสกสกล กล่าวต่อว่าและเช่นเดียวกัน ตนได้ลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติด้วย เพราะต้องการให้ภาพพจน์และการขับเคลื่อนของพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นไปในทางที่ดี ในสายตาพี่น้องประชาชน ไม่ให้เกิดความด่างพร้อยเสียหายต่อทางพรรค และความลำบากใจต่อคณะกรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติ
นายเสกสกล ยังพูดถึงเสียงดูแคลนว่า อกตัญญูต่อนายทักษิณ ชินวัตร ว่าตนถูกดูแคลนเรื่องนี้มาตลอด 8 ปี ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะนายทักษิณ ไม่เคยมีบุญคุณอะไรกับตนมากมาย ตรงกันข้ามนายทักษิณ ต่างหากที่เป็นหนี้บุญคุณตนเอง ที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน แต่คนใกล้ชิดนายทักษิณรู้ดี
"เพราะในการเลือกตั้งปี2538 นายทักษิณลงเลือกตั้ง ส.ส.ในนามพรรคพลังธรรม ครั้งแรก ผมถูกทาบทามผู้ใหญ่ บิ๊กระดับประเทศคนใกล้ชิดนายทักษิณคนหนึ่ง ให้มาช่วยนายทักษิณและทีมผู้สมัครส.ส. ตนจึงชักชวนน้องๆนักศึกษา อาสาสมัครมาทุ่มเทช่วยกัน ทำให้นายทักษิณชนะได้เป็นส.ส.ครั้งแรกในชีวิต หลังการเลือกตั้งผ่านไป นายทักษิณก็ทอดทิ้งไม่เห็นใยดีอะไรกับผม ไม่เคยเห็นเงาหัวคนที่ทำให้ชนะเลือกตั้งได้เป็นสส. ไม่เคยมองตนอยู่ในสายตา ตนถามกลับตกลงใครที่เป็นหนี้บุญคุณใคร ผมไม่เคยทวงบุญคุณนายทักษิณ และเขาก็ไม่เคยมีบุญคุณอะไรกับผม มีแต่ผมกับทีมงานช่วยเขาได้เป็นสส.พร้อมกับคุณอรทัย กาญจนชูศักดิ์ " นายเสกสกล ยืนยัน
นายเสกสกล เล่าต่อว่าหลังจากนั้น ตนมาลงสมัครสส.ในปี 2539 ที่บ้านเกิดโคราชในนามพรรคประชาธิปัตย์ แต่สอบตก หลังพ่ายแพ้แต่ตนก็ฮึดสู้ไม่ท้อถอย ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายเสียงตอบรับดีวันดีคืน ในปี2542 นายทักษิณจึงให้คนมาชวนไปอยู่พรรคไทยรักไทย และลงสมัครสส.ในปี 2544 ตนชนะเลือกตั้งได้คะแนนท่วมท้น ด้วยความขยันขันแข็งและลงพื้นที่อย่างหนักของตัวเอง ไม่เคยใช้เงินนายทักษิณมาซื้อเสียงเลือกตั้ง ตนชนะการเลือกตั้งมา 3 ไฟล์ท ด้วยคะแนนที่บริสุทธิ์ เดินกราบไหว้ใกล้ชิดประชาชน ตนจึงไม่มีอะไรที่จะต้องมีบุญคุณกับนายทักษิณ เพราะชนะด้วยความขยันลงพื้นที่ของตนเองตั้งแต่ก่อนเข้าพรรคไทยรักไทย ถ้าตนฐานเสียงไม่แน่นไม่ดีจริง คนอย่างนายทักษิณคงไม่ส่งผู้ใหญ่มาทาบทามให้ไปลงในนามพรรคไทยรักไทยอย่างแน่นอน
ดังนั้น "ผมมีแต่ช่วยนายทักษิณและช่วยพรรคของนายทักษิณ ให้ชนะเลือกตั้ง นายทักษิณต่างหากที่ไม่รู้ค่าบุญคุณที่ผมช่วยตลอดมา" แต่ที่มายืนข้างและผมเคารพ ศรัทธาท่านนายกฯพลเอกประยุทธ์ในฐานะที่ทำงานใกล้ชิดกับท่าน ได้เห็นความจริงใจต่อประชาชน ต่อประเทศชาติบ้านเมือง ไม่มีแม้แต่จะคิดคด ทุจริต คอร์รัปชัน และท่านยังให้โอกาสคน ให้เกียรติผู้ใต้บังคับบัญชา มีความรักลูกน้อง ไม่เคยคิดทอดทิ้งเหมือนคนชื่อนายทักษิณ ฉะนั้นแล้ว ผมจึงต้องขอกตัญญูกับพลเอกประยุทธ์ คนนี้คนเดียวตราบสิ้นลมหายใจของผมที่เหลืออยู่ เพื่อให้ท่านกลับมาเป็นนายกฯปกป้อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ สถาบันหลักที่เป็นลมหายใจเข้าออกของผม" นายเสกสกล กล่าวทิ้งท้าย