"มงคลกิตติ์" ขอบคุณสื่อสภาส่องแสงตั้งฉายาดาวดับ พร้อมแจง ต้องการแสงเพื่อหาเสียง มั่นใจ มีผลงานมากกว่า ส.ส.หลายคน ระบุ รู้ว่าสื่ออยากให้เป็นดาวเด่นแต่กลัวคนว่า

นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าวถึงกรณีสื่อประจำรัฐสภาตั้งฉายา “ดาวดับ” ประจำปี 2565 โดยยอมรับว่า ตกใจที่ได้รับฉายา เพราะตั้งแต่เป็น ส.ส.มา 4 ปีไม่ติดชาร์ต มีติดชาร์ตครั้งเดียว และคิดว่า ปีนี้ไม่น่าจะมี แต่สื่อมวลชนก็คงเอ็นดู จึงขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนงที่มอบฉายา “ดาวดับ” ตอนแรกเข้าใจว่า เป็นคำไม่ดี แต่เมื่อดูรายละเอียดก็เข้าใจว่า เหมือนเป็นการหาแสงจากคดีต่างๆ จึงขอชี้แจงว่า การเป็น ส.ส.จะต้องทำหน้าที่และไปดูแลประชาชน อย่างกรณี น.ส. ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม ที่เมื่อถามว่า ไปหาแสงจะคุ้มหรือไม่ ซึ่งตนก็ไม่ได้ไปดูเฉยๆ เพราะคดีติดตัวอยู่หลายคดี แต่ตนก็ได้นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมกรรมาธิการฯ จนได้ผลักดันกฎหมายต่างๆออกมาหลายฉบับ

 

“ผมมีหลายหน้าที่ จะบอกไปเสือกทุกเรื่องก็ไม่ได้ ยอมรับว่า เป็น ส.ส.หาแสง เพราะจะได้ทำงานสะดวก ถ้ามีแสง ผีก็วิ่งหนีหมด ผมดับในช่วงที่มีเมฆอยู่ พอเมฆหายไปก็สว่างเหมือนเดิม ผมก็ทำงานได้เหมือนเดิม ช่วงที่ผ่านมา ผมทำงานหลากหลายหน้าที่ ดังนั้นผมจำเป็นต้องมีสื่อมวลชน เพราะผมก็ไม่ใช่เจ้าของสื่อ นอกจากนี้ ผมเป็นสมาชิกสภาราษฎรส่วนน้อยที่ไม่ได้ซื้อเสียงและไม่ได้ทุจริต  แต่ก็ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ทำงานในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา พรรคไทยศรีวิไลย์ไม่มีป้ายหาเสียงและไม่มีรถแห่ เน้นหาเสียงทางสื่อโซเชียลมีเดียและหาเสียงจากการทำงานที่มีแสงเยอะๆ ขอให้ภูมิใจในตัวผมเพราะผมทำหน้าที่ได้ 100%” นายมงคลกิตติ์ กล่าว

 

นายมงคลกิตติ์ ยังได้ยกมือไหว้สื่อมวลชนเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับฉายา “ดาวดับ” พร้อมระบุว่า ไม่โกรธแต่ภูมิใจ ขอบคุณสื่อมวลชนอย่างมาก เพราะ ส.ส.มี 500 คน ส.ว.250 คน แต่คนที่อยู่ในสื่อตอนนี้มีแค่ 5-6 คนเท่านั้น ดังนั้น ตนไม่โกรธ แต่ภูมิใจ และต่อไปตนก็ยังทำหน้าที่เช่นนี้ตลอดไปจนยุบสภา

 

เมื่อถามว่า ยอมรับว่า หาแสงจริงๆใช่หรือไม่ นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า จำเป็นต้องหาแสง เพราะว่า ถ้ามีแสง ประชาชนจะได้เห็นว่าเราทำงาน และเราก็ทำงานจริงๆ ถ้าแสงตามเราไปต่อเนื่อง ประชาชนก็รู้ว่า เราทำงานตลอด เมื่อมีแสงเยอะ การเป็นพรรคการเมือง ก็ไม่ต้องใช้เงินในการหาเสียง ไม่ต้องถูกกดดันว่า จะต้องไปรับเงินจากเจ้าสัวนั้นเจ้าสัวนี้ ตนยอมขัดใจทุกคนถ้าประชาชนต้องการ ยืนยันว่า ไม่เสียความมั่นใจที่ได้ฉายาดาวดับ เพราะคำว่าดาวดับ เพราะต้องดับอยู่แล้ว สว่างไม่ได้ เพราะเปลืองแบต ให้มีเวลาพักบ้าง เวลาเมฆผ่านไป ตนก็ทำงานต่อ เพราะดาวสว่างแล้ว และนี่คือการหาเสียงโดยสุจริต และหาแสงโดยต้องเข้าหาสื่อ เพราะฉะนั้นคือ สื่อคือผู้มีพระคุณกับ ส.ส. จึงต้องกราบสื่อทุกคน

 

“ถ้าสื่ออยากเอื้อเฟื้อผมต่อ ก็ช่วยส่องแสงมาที่ผม แล้วผมจะได้ส่องแสงสะท้อนไปที่ประชาชน เพราะแสงขึ้นอยู่กับสื่อ ดังนั้นการที่สื่อให้ฉายาดาวดับเหมือนกับใช้แสงมาให้ผมอีกที ขนาด ส.ส.ในสภาเป็นร้อย ขนานหมอชลน่าน ยังได้แค่ หมอ(ง)ชลน่าน ไม่ใช่เชิงบวก ผมรู้ว่า สื่อมวลชนอยากให้ผมเป็นดาวเด่น แต่ให้ไม่ได้เพราะมีพฤติกรรมที่ยัง

ขัดอยู่ กลัวคนมาด่า ก็เลยให้ดาวดับ เพราะรู้ว่า ส.ส.มงคลกิตติ์ไม่ว่าหรอก เขาชอบด้วยซ้ำ ยืนยันไม่โกรธเพราะผมไม่ใช่ลุงตู่ ที่ได้ฉายาแปดเปื้อน ผมว่า ไม่ใช่แปดเปื้อน แต่เป็นผ้าดำ ไม่มีอะไรขาวเลยในตัว มืด แต่ดาวดับ ไม่ได้มืดด้วยตัวเอง แต่ขึ้นอยู่กับเมฆ มืดมาจากเมฆ แต่ลุงตู่ดำแล้วมาบัง ก็ทำให้ผมดับ พอลุงตู่ผ่านไป ผมก็สว่างวาบเหมือนเดิม” นายมงคลกิตติ์

 

อย่างไรก็ตาม นายมงคลกิตติ์ ในฐานะโฆษกกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ยังเปิดเผยอีกว่า ในวันพรุ่งนี้ (28 ธ.ค.) คณะกรรมาธิการทหาร ได้เชิญ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รวมถึงผู้บัญชาการทหารเรือ ให้มาชี้แจงเกี่ยวกับเหตุเรือหลวงสุโขทัยอับปาง พร้อมขอฝากไปยังนายกรัฐมนตรีว่า หากนายกรัฐมนตรีคิดจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากประชาชนก็ควรให้เกียรติสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการฯด้วยการเดินทางมาชี้แจงด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ในที่ประชุมจะขออนุมัติเพื่อให้คณะกรรมาธิการทหารได้เดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อขอข้อมูลจากบริษัทต่อเรือว่า เหตุใดเรือที่ไทยจ่ายเงินไปแล้ว 7 พันล้านบาท จึงไม่มีเครื่อง MPU และจะเปลี่ยนสัญญาได้หรือไม่