ตำรวจภูธรภาค 1 ระดมกำลัง เร่งไล่ล่าคนร้ายก่อเหตุยิงการ์ดเสียชีวิต 1 ราย และได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 ราย หลังมือยิงก่อเหตุทะเลาะวิวาท กลางงานจัดเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ตำรวจระบุ ผู้ก่อเหตุมีประวัติยิงคนมาอย่างโชกโชนหลายคดี เป็นบุคคลอันตราย หากต่อสู้จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดทันที
ความคืบหน้าคดีจากเหตุการณ์ที่ นายปรินทร์ สุวลักษณ์ อายุ 30 ปี เป็นชาวจังหวัดสงขลา ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิง นายสิริกร ชื่นสมทรง อายุ 35 ปี เสียชีวิต และ นายนพพล มินโด อายุ 39 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลภูมิพล ซึ่งทั้งคู่เป็นการ์ด ของตลาดแห่งหนึ่งใน อำเภอลำลูกกาจังหวัดปทุมธานี เหตุเกิดเมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา
ทีมข่าวช่อง 8 ได้ลงพื้นที่ไปยังจุดเกิดเหตุพบ กองเลือดตกอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งภายในตลาด มีร้านที่เปิดให้บริการนั่งดื่มกินอยู่จำนวนหลายร้าน แต่ไม่พบผู้ใดอยู่ เพราะร้านในตลาดดังกล่าวส่วนมากจะเปิดในช่วงเย็น
ขณะที่ พลตำรวจตรี พีระพงศ์ วงษ์สมาน รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เปิดเผยว่า ล่าสุด พนักงานสอบสวนได้ ขออนุมัติศาลธัญบุรี ออกหมายจับ นายปรินทร์ ผู้ต้องหา ในข้อหา ฆ่าผู้อื่น และพยายามฆ่า พร้อมด้วยข้อหามีอาวุธปืนและกระสุนปืนอยู่ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งขณะนี้ชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานีและกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 อยู่ระหว่างการติดตามจับกุมตัว คาดว่าจะหนีออกนอกพื้นที่อยู่ในแถบจังหวัดทางภาคอีสาน
โดยจากการตรวจสอบประวัติพบว่า นายปรินทร์ ผู้ต้องหามีประวัติ ก่อเหตุใช้ อาวุธปืนยิงคนมาแล้วอย่างโชกโชน เฉพาะในพื้นที่ภาคใต้จำนวน 5 คดี ซึ่งหลังจากพ้นโทษมาไม่นานก็มาก่อเหตุดังกล่าวขึ้นอีก จึงถือว่าเป็นบุคคลอันตรายหากผู้ใดมีเบาะแสให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการจับกุมและหากผู้ต้องหาต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด
ส่วนสาเหตุ มาจากที่ผู้ต้องหาไม่พอใจผู้บาดเจ็บและผู้ตายเข้าไปห้ามปรามหลังจากที่ผู้ก่อเหตุมีเรื่องทะเลาะวิวาทระหว่างการจัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ภายในสถานที่ที่เคยเป็นสถานบันเทิงและถูกสั่งปิดไปแล้ว โดยกลุ่มผู้ต้องหาได้นัดกันมาจัดงาน ในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว ประกอบกับผู้ต้องหามีพฤติกรรมโหดร้ายและก่อเหตุรุนแรงมาอย่างต่อเนื่องจึงไม่เกรงกลัวกฎหมายก่อเหตุซ้ำขึ้นมาอีก
ส่วนศพของ นายสิริกร ที่เสียชีวิต ได้ส่งไปยัง โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช เพื่อดำเนินการ ผ่าชันสูตรศพ หลังจากนั้นจะให้ญาตินำไปบำเพ็ญกุศลต่อไป