ชาวสวนปาล์มน้ำมัน จ.ตรัง เดือดร้อนราคาผลผลิตตกต่ำ อยู่ที่กิโลกรัมละ 4.50-4.70 บาท สวนทางราคาปุ๋ยแพงกระสอบละเกือบ 2,000 บาท
วันที่ 5 ม.ค. 2566 จากสถานการณ์ราคาปาล์มน้ำมันก่อนเทศกาลปีใหม่อยู่ที่กก.ละ 4.10 บาท ทำให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันออกมายื่นหนังสือเรียกร้องรัฐบาลโดยนายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ "กกร." และผู้ว่าราชการจังหวัดใช้อำนาจในฐานะประธานคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ"กจร." เร่งบังคับใช้กฎหมายแก้ปัญหาราคาปาล์มตกต่ำโดยไม่มีเหตุอันควร ไม่เป็นไปตามประกาศโครงสร้างการคำนวณราคาประมาณการของผลปาล์มน้ำมัน ซึ่งประกาศให้ราคาผลปาล์มน้ำมัน น้ำมันปาล์มดิบ และน้ำมันขวดลิตร มีความสัมพันธ์กัน คำนวณได้ เช่น ปัจจุบันน้ำมันขวดลิตรราคา 40-50 บาท ราคาผลปาล์มทะลายควรรับซื้อที่ราคา กก.ละ 6.05-6.30 บาท แต่ราคารับซื้อทั่วไปก่อนปีใหม่ราคากก.ละ 4 บาทกว่า ๆ ไม่เป็นไปตามประกาศฯ ดังกล่าว
แต่ล่าสุด โรงงานกลับมารับซื้ออีกครั้งหลังเทศกาลปีใหม่มา 2 วัน พบว่าราคาปาล์มน้ำมันเริ่มขยับตัวปรับขึ้น จากเมื่อวันที่ 3 ม.ค.ราคาประมาณ กก.ละ 4.20-4.50 บาท วันที่ 4 มค.ราคากก.ละ 4.50-4.70 บาท แต่ราคาดังกล่าวก็ยังต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็นตามข้อเรียกร้องของชาวสวนปาล์มน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันปาล์มขวดมีแนวโน้มปรับราคาสูงขึ้นไปอีก โดยชาวสวนประกาศภายในเดือนนี้ หากไม่มีการเร่งแก้ปัญหาให้ราคาผลผลิตปาล์มน้ำมันเป็นไปตามโครงสร้างการคำนวณราคาประมาณการของผลปาล์มน้ำมัน จะออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ทางด้านนายศรีวิทย์ ตกจีนต้อง อายุ 52 ปี เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ต.เขาไม้แก้ว อ.สิเกา จ.ตรัง ซึ่งตัดผลผลิตปาล์มน้ำมันมาส่งขาย บอกว่า ช่วงนี้ผลผลิตปาล์มน้ำมันยังน้อย ราคาปาล์มน้ำมันที่เกษตรกรขายได้ ขณะนี้ก็ยังไม่สัมพันธ์กับราคาปุ๋ยที่รัฐบอกว่ามีการปรับราคาลดลงแล้ว แต่ในความเป็นจริงจากราคากระสอบละ 2000 บาท ขณะนี้ปรับลดลงมาอยู่ที่กระสอบละ 1,500-1,800 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ยังสูงมากเช่นเดิม ซึ่ง 1 กระสอบ ใส่ได้เพียงประมาณ 20 ต้นเท่านั้น ส่วนของตัวเองเนื้อที่ 13 ไร่ ต้องใช้ปุ๋ยประมาณ 10 กระสอบ ราคาเกือบ 20,000 บาท
ทั้งนี้ หากราคาปุ๋ยกระสอบละ 1,400-1,500 บาท ราคาปาล์มน้ำมันควรจะไม่ต่ำกว่ากก.ละ 6 บาท เกษตรกรจึงจะอยู่ได้ แต่หากราคาปุ๋ยกระสอบละ 1,700-1,800 บาท ราคาปาล์มน้ำมันควรจะอยู่ที่กก.ละ 8 บาท จึงจะทำให้เกษตรกรอยู่ได้ เพื่อที่ว่าชาวสวนพอจะมีเงินเก็บ ส่งลูกเรียนหนังสือ หรืซื้อกับข้าวในสิ่งที่อยากจะกินบ้าง แต่นี่ต้องประหยัดกันทุกอย่าง บางครั้งหลายรายต้องยอมอดเพื่อเอาไว้ส่งลูกเรียนหนังสือ ซึ่งน่าสงสารชาวสวนมาก นอกจากนั้นยังมีต้นทุนอื่น ๆ อีก เช่น ค่าจ้างคนงานตัดปาล์ม บางคนทำเองไม่ไหวก็ต้องจ้างใส่ปุ๋ย ซึ่งหากจ้างตัดตันละ 500-700 บาท ขึ้นอยู่กับความสูงของต้น แต่หากเป็นปาล์มเล็กอายุประมาณ 3 ปี จะต้องจ้างตัดกก.ละ 1 บาท หรือตันละ 1,000 บาท จึงอยากให้รัฐเร่งแก้ปัญหาทั้งเรื่องราคาปาล์ม และราคาปุ๋ยให้สัมพันธ์กัน