หนุ่มแกร็บคาร์ ยืนยัน ดาราสาวไต้หวันเมาจริง 100% จี้ให้ออกมาพูดความจริง ทำเสียภาพพจน์ประเทศไทย ลั่นจะเชื่อคนเมาหรือคนไม่เมา
คืบหน้ากรณี ดาราสาวไต้หวัน อ้างว่าโดนตำรวจไทยรีดเงิน 27,000 บาท ล่าสุด 27 ม.ค.66 ภายหลังการสอบปากคำคนขับรถ"แกร็บคาร์ "มาสด้า สีแดง กว่า 3 ชม. เจ้าตัวออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหมดในคืนวันเกิดเหตุ เล่าย้อนไทม์ไลน์พร้อมยืนยันดาราสาวไต้หวันเมา 100 %
ทั้งนี้ ระบุว่า คืนดังกล่าว นักท่องเที่ยวได้เรียกรถตนผ่านแอปพลิเคชั่น ไปรับที่อาร์ซีเอ ตอนประมาณตีสองกว่า ปักหมุดปลายทางที่ห้วยขวางเทอเรส ซึ่งผู้โดนสารมีทั้งหมด 4 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 1 คน ซึ่งตนสังเกตได้ชัดเจนว่าทุกคนมีอาการเมา พูดจาไม่รู้เรื่อง ตอนไปรับตนจอดห่างจากหมุดไปประมาณ 30 เมตร แล้วบอกให้เดินมา ผู้ชายคนหนึ่งที่พอจะพูดภาษาไทยได้ ก็พูดจาโมโหใส่อารมณ์ ตวาดใส่ตน ทั้งนี้ พอผู้โดยสารขึ้นมา ตนได้กลิ่นเหล้าหึ่งแรงมากจนต้องขับรถเปิดกระจก และตนจำผู้หญิงคนนี้ได้แม่น เพราะดูท่าทางเมาแล้วโวยวายเสียงดังที่สุดในรถ
จากนั้น ตนก็ขับมาตามเส้นทางจากอาร์ซีเอ ออกถนนพระราม 9 แล้วเลี้ยวซ้ายที่แยกอสมท. เข้าถนนรัชดาภิเษก ก็มาเจอด่านตรวจที่หน้าสถานทูตจีน แล้วมีตำรวจเรียกขอตรวจ ตนก็เปิดไฟ ในรถ ตำรวจก็ว่าจะไปไหน ตนก็บอกไปว่าเป็นแกรป ตำรวจก็บอกว่าขอตรวจเช็คผู้โดยสาร และหันไปพูดภาษาอังกฤษกับผู้โดยสารว่า Police Check ซึ่งตอนนั้นผู้หญิงมีอาการไม่พอใจชัดเจน ประมาณว่าไม่อยากให้ตรวจค้น และเมาด้วย ตำรวจก็พยายามเชิญลงจากรถ ผู้โดนสารก็ทำท่าไม่อยากลง แต่สุดท้ายก็ลง ไปยืนให้ตำรวจตรวจค้นอยู่ที่ท้ายรถฝั่งซ้าย โดยรถจอดอยู่เลนซ้ายสุด
ซึ่งระหว่างที่ตรวจค้น มีตำรวจเข้ามาตรวจค้นทั้งหมด 3 นาย โดยตำรวจได้ให้ผู้โดยสารเปิดกระเป๋า และส่องไฟฉายลงไป ให้ผู้โดยสารเป็นคนรื้อกระเป๋าให้ดูเอง ไม่ได้แตะต้องข้าวของ และแตะตัวเฉพาะผู้โดยสารผู้ชายเท่านั้น ใช้เวลาตรวจค้นนานประมาณ 30 นาที โดยตนไม่ค่อยได้หันไปมอง จะหันไปเฉพาะเวลาได้ยินเสียงผู้หญิงโวยวายเป็นภาษาจีนเสียงดังใส่ตำรวจ และมีพยายามจะพูดภาษาไทยด้วย ซึ่งตำรวจก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร และก็ไม่เห็นว่าผู้โดยสารมีการพยายามจะถ่ายคลิป
จากนั้น ผู้โดยสารผู้ชายที่พูดไทยได้ ได้เดินมาหาตนแล้วจ่ายเงิน 80 บาท แล้วก็บอกให้ไปๆๆๆ ตนยังคิดอยู่เลยว่าขาดทุนเพราะค่าโดยสารทั้งหมด 89 บาท แต่ตนก็ขับรถออกมา
ทั้งนี้ ยืนยันว่า ระหว่างที่จอดรถอยู่ในด่าน ตนไม่สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ตำรวจตรวจค้นปกติ เป็นที่โล่งริมถนน ส่วนผู้โดยสารมีบุหรี่ไฟฟ้าจริงหรือไม่ ตนไม่ได้สังเกต
อย่างไรก็ตาม หลังมีข่าวขึ้นมา ตนก็รู้สึกคุ้นหน้านักท่องเที่ยวผู้หญิง จึงมาเปิดดูในไทม์ไลน์แอปพลิเคชั่น ซึ่งส่วนมากตนจะจำลูกค้าประเภทที่เมาโวยวายได้แม่น เลยคิดว่าใช่แน่ พอตำรวจเรียกมาจึงให้ความร่วมมือ เพราะมองว่านักท่องเที่ยวหญิงให้ข่าวเกินไป ทำให้เสียภาพพจน์ประเทศไทย ส่วนที่เจ้าตัวออกมาชี้แจงผ่านอินสตาแกรมว่าไม่ได้ดื่ม ตนยืนยันได้ว่า เมา 100%
ตนอยากบอกให้ดาราสาวไต้หวันออกมาพูดความจริง เพราะตอนนั้นเธอมีอาการเมา แต่ตนขับรถไม่เมาอยู่แล้ว ตนมีสติ ก็ให้สังคมตัดสินว่าจะเชื่อคนเมาหรือคนไม่เมา ส่วนกล้องหน้ารถตน บันทึกเสียงได้ แต่ไฟล์ภาพถูกลบไปแล้วเพราะตนจะฟอร์แมตทุก 7 วัน แต่ก็ได้นำเมมโมรี่การ์ดให้ตำรวจนำไปตรวจสอบแล้ว
ขณะที่ พันตำรวจเอกยิ่งยศ สุวรรณโณ ผู้กำกับการ สน.ห้วยขวาง กล่าวว่า ภายหลังจากได้เรียกคนขับรถแกร็บ เบื้องต้นได้หลักฐานมาแล้วพอสมควร ขณะเดียวกันตอนนี้ดาราสาวชาวไต้หวันไม่ได้อยู่ในประเทศไทย แต่จะมีการเรียกตัวกลับมาให้ข้อมูลหรือไม่ ต้องรอดูว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะว่าอย่างไร
เมื่อถามว่าจากการสอบปากคำพยานรวมทั้งตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้วบางส่วน ยังคงมั่นใจในตำรวจใต้บังคับบัญชาหรือไม่ว่าไม่ได้มีการเรียกรับผลประโยชน์ตามการกล่าวอ้างของดาราสาวชาวไต้หวัน พันตำรวจเอกยิ่งยศ ระบุว่า ในส่วนนี้อยู่ที่พยานหลักฐาน
เมื่อถามย้ำว่า สรุปแล้วมีการเรียกรับเงิน 27,000 บาท หรือไม่ พันตำรวจเอกยิ่งยศ ยังคงย้ำว่า ยังตอบในจุดนี้ไม่ได้ เพราะอยากให้รอพยานหลักฐานชัดเจนก่อน จึงจะสามารถสรุปได้
ทั้งนี้ หากผลออกมาแล้วไม่ได้เป็นตามที่ดาราสาวชาวไต้หวันกล่าวอ้าง จะมีการตั้งข้อหาหรือไม่ ผู้กำกับการ สน.ห้วยขวาง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มี รอให้เป็นไปตามพยานหลักฐาน และหากเป็นคนไทยทำเหตุการณ์แบบนี้ จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น พันตำรวจเอกยิ่งยศ กล่าวว่า อย่าเพิ่งเทียบเคียงกันดีกว่า เพราะในส่วนนี้เป็นเรื่องของข้อกฎหมาย ส่วนที่ดาราสาวชาวไต้หวันได้โพสต์อินสตาแกรมทำนองว่าให้ตำรวจไทยหยุดใส่ร้ายเธอได้แล้ว และให้ตำรวจไทยเปิดหลักฐานกล้อง CCTV ออกมา ผู้กำกับการ สน.ห้วยขวาง ระบุว่า ขอรอความชัดเจนแล้วจะปล่อยทีเดียว
เมื่อถามว่ามีความมั่นใจมากน้อยแค่ไหนที่จะสามารถกู้ชื่อเสียงตำรวจไทยกลับมาได้ พันตำรวยเอกยิ่งยศ ยังยืนยันว่าให้เป็นไปตามพยานหลักฐาน หากเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างจะประจักษ์เอง