"สกาย" พยานชาวสิงคโปร์ ระบุจ่ายเงิน 27,000 ให้ตำรวจจริง เหตุพกบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน อันละ 8,000 ไม่มีพาสปอร์ตอีก 3,000 ลั่นมาเพื่อพูดความจริง ชี้วันเกิดเหตุไม่มีทางเลือก ตำรวจจับแบบไม่มีเหตุผล ขู่ต้องนอนคุก 2 วัน
วันที่ 2 ก.พ.66 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีตนักการเมือง จัดแถลงข่าวกรณีของ อันหยูชิง หรือ Charlene An ดาราสาวไต้หวันกับกลุ่มเพื่อนที่ระบุว่าถูกตำรวจตั้งด่านรีดไถเงิน 27,000 บาท โดยก่อนแถลงชูวิทย์ได้ตีปี๊บ และกล่าวระเดินว่าจะนำปี๊บดังกล่าวไปฝากให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคลุมศรีษะไว้ เพื่อซ่อนจากข้อเท็จจริงที่จะเปิดเผย
นายชูวิทย์ เปิดเผยว่า การตั้งด่านของเจ้าหน้าที่มีการทำเป็นขบวนการ จัดสรรแบ่งส่วนให้กับผู้ที่ปฏิบัติงาน การตั้งด่านนี้ทำลายภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวยิ่งเฉพาะในช่วงนี้ที่เพิ่งมีการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้งหลังสถานการณ์โควิด-19
จากนี้แทนที่นักท่องเที่ยวจะกลัวโจรผู้ร้ายกลับต้องมากลัวตำรวจที่ควรจะดูแลความปลอดภัยของพวกเขา ทั้งนี้ชูวิทย์เปิดภาพที่ตำรวจนำบุหรี่ไฟฟ้าใส่มือของอันหยูชิง พร้อมกล่าวว่าเป็นความจริงที่อันหยูชิงใช้บุหรี่ไฟฟ้า แต่วันที่เกิดเหตุเธอไม่ได้นำบุหรี่ไฟฟ้ามา
ถ้าถึงวันนี้ตำรวจต้องการจะคืนเงิน 27,000 บาทให้กลุ่มผู้เสียหายตนเองก็เชื่อว่าเขาจะไม่รับแล้ว เพราะทั้งหมดไม่ได้รับความเป็นธรรม อีกทั้งที่ผ่านมายังถูกเจ้าหน้าที่ใส่ร้ายมาตลอด
เปรียบตำรวจไม่ดีเป็นนิ่วร้ายที่ต้องตัดทิ้ง เชื่อว่าวันนี้ไม่มีนิ้วเหลือให้ตัดแล้ว
ต่อมาเวลา 14.20 ชูวิทย์ได้เชิญ "สกาย" ชาวสิงค์โปร์เพื่อนของอันหยูชิง มาร่วมแถลงข่าว
โดย "สกาย" กล่าวว่า ถ้าไม่ไว้ใจชูวิทย์ก็คงไม่เดินทางมา วันที่เกิดเรื่อง ตนเองกับกลุ่มเพื่อนรวมทั้งอันหยูชิงไปเที่ยวงานวันเกิดเพื่อนอีกกลุ่ม หลังจากนั้นระหว่างเดินทางกลับโรงแรมที่พักซึ่งอยู่บริเวณถนนรัชดาภิเษก เจอตำรวจตั้งด่านใช้ไฟฉายส่องเข้ามาในรถแท็กซี่ที่นั่งอยู่
จากนั้นเจ้าหน้าที่ประจำด่าน บอกให้รถจอดเข้าข้างทางให้ทุกคนในรถลงมาจากนั้นเข้ามมาจับตามตัว ค้นกระเป๋า ให้นำเอกสาร หนังสือเดินทางออกมาแสดง รวมทั้งให้ถอดรองเท้า ซึ่งในวันดังกล่าวตนเองไม่ได้นำพาสปอร์ตออกมาจากที่พัก
สกาย กล่าวต่อว่า จากการตรวจตามตัวเจ้าหน้าที่พบบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน เจ้าหน้าที่ถามต่อว่ามาจากประเทศไหน ตอนนั้นทางกลุ่มเองเริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมตำรวจทำเป็นเรื่องใหญ่ สั่งห้ามโทรศัพท์ ห้ามติดต่อใคร หรือถ่ายรูป ในเหตุการณ์ฝั่งตนมีเพียงตนเองที่พูดไทยได้ นอกนั้นในกลุ่มพูดไม่ได้
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่พูดขึ้นว่า อย่ากวน_ีน ระหว่างที่ตนเองถามถึงเหตุผลว่าทำไมถึงต้องตรวจมากมาย เพราะตนเองและเพื่อนไม่ได้ทำกฎหมายแน่นอน พร้อมอธิบายว่าตามปกติแล้วการเดินทางเข้าประเทศไทยของคนสิงค์โปร์ไม่จำเป็นต้องมีวีซ่ายกเว้นกรณีที่อยู่อาศัยเกินกว่า 10 กว่าวันขึ้นไป ส่วนตัวที่เดินทางมาเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. เพื่อฉลองเทศกาลปีใหม่และอยู่ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ 5 ม.ค. เป็นวันที่กำหนดเดินทางกลับ
ส่วนเล่มหนังสือเดินทาง หรือ พาสปอร์ตที่เจ้าหน้าที่พยายามเรียกดู ตนเองได้ตอบไปว่าเอกสารต่าง ๆ อยู่ที่ที่พัก ถ้าจะตรวจ ขอเวลากลับไปนำมาแสดง ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ไม่ฟังและพยายามแย้งว่าต้องแสดงเอกาสารทันทีห้ามไปไหน และพยายามแจ้งว่าการที่พกพาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นความผิด
สกาย จึงได้ตอบเจ้าหน้าที่ไปว่าตนเองและเพื่อนไม่ทราบว่าผิดกฎหมาย พร้อมถามกลับว่าถ้าผิดกฎหมายจริง ทำไมถึงมีวางขายทั่วไป เพราะบุหรี่ไฟฟ้าที่ตำรวจยึดตนเองก็ซื้อมาจากตลาดที่ห้วยขวางเทอเรส และเห็นคนไทยใช้ตามปกติอยู่ ไม่มีใครบอกว่าผิด
เมื่ออธิบายเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าเสร็จตอนนั้นเจ้าหน้าที่เริ่มมีทีท่าโมโห และบอกว่าถ้าอย่างนั้นทั้งหมดต้องไปสถานีตำรวจและจะต้องติดคุกอย่างน้อยอีก 2 วัน แม้ตนเองจะแย้งไปว่าถึงกำหนดเดินทางกลับแล้ว เมื่อเจรจาได้ระยะหนึ่งทางเจ้าหน้าที่พาไปหาเจ้าหน้าที่อีกรายที่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบตำรวจและแจกแจงให้กับตนเองฟังว่าบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน อันละ 8,000 บาทส่วนที่ไม่พบพาสปอร์ตอีก 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 27,000 บาท
โดยตำรวจที่เข้ามาพูดคุยเรื่องเงินมี 3 นาย โดย
นายแรก-เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ สวมแจ็คเกต มีหนวดเครา คนนี้ทำหน้าที่ในการเรียกและรับเงินจากนายสกาย และเก็บเงินเข้ากระเป๋าตนเอง
นายที่ 2-รูปร่างสูงใหญ่ ศีรษะล้าน ทำหน้าที่บังกล้อง
นายที่ 3-รูปร่างผอม ใส่ผ้าคลุมหน้า โดยจะเข้ามาร่วมรับฟังการพูดคุยด้วย
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ 1 รายยื่นบุหรี่ไฟฟ้ามาให้อันหยูชิงถือพร้อมถ่ายภาพ ตอนนั้นทั้งกลุ่มเครียดมาก เพราะไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อนและทั้งหมดอยากออกจากจุดนั้นไว้ ๆ รวมถึอยากออกจากประเทศไทย ไม่อยากอยู่ต่อเพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ (3 ก.พ.66) จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก
สกาย กล่าวว่าวันที่เกิดเรื่องตนมีเงินติดตัว 30,000 บาท ตอนที่ให้เงินทางตำรวจพาเดินไปที่มุมหนึ่งของด่านตรวจ จากนั้นให้ตนเองนับเงินให้เรียบร้อยและให้ในกลุ่มของตนมายืนบังมุมกล้อง เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยเจ้าหน้าที่เรียกแท็กซี่ให้และให้บอกแท็กซี่ว่าจะไปไหนต่อ
หลังผ่านเหตุการณ์นั้นมาในกลุ่มไม่ค่อยอยากพูดคุยกันเพราะทุกคนยังเครียด แต่ยืนยันว่าไม่ได้เมาเหมือนที่มีคนออกมาพูด และพยายามสื่อสารกับเจ้าหน้าที่แล้ว ส่วนตัวคิดว่าเจ้าหน้าที่ต้องมีเหตุผล ถ้าอยากจับก็จะต้องมีเหตุผล ถ้าสงสัยอะไรก็ต้องพูดคุย แต่สิ่งที่เกิดตำรวจไม่มีเหตุผลอะไรและบอกว่าต้องไปสถานีตำรวจอย่างเดียว ทำไมต้องทำแบบนี้
สำหรับเงินที่จ่ายไปสกายยืนยันว่าตำรวจกลุ่มนั้นแสดงท่าทีและพูดจาในลักษณะบีบบังคับให้จ่ายเงินตนเองไม่ได้เสนอให้ ทั้งนี้เงิน 30,000 บาทที่จ่ายไปตั้งใจว่าจะซื้อของฝากให้ครอบครัวแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อเพราะตำรวจเหลือเงินให้ติดตัว 3,000 บาท
สกาย กล่าวว่าหลังจากกลับมาในกลุ่มมีการพูดคุยกันและคิดว่าถ้าตอนนั้นมีทางเลือกก็คงไม่ให้เงินแต่ให้ไปเพราะตำรวจจะพาไปที่สถานีตำรวจอย่างเดียว
ขณะเดียวกันชูวิทย์ ได้จัดทำแฟ้มรายชื่อพร้อมรูปภาพของตำรวจ สังกัดสถานีตำรวจนครบาล สน.ห้วยขวาง มาจำนวนหนึ่ง และเปิดให้สกายดู 2 รูปภาพ แล้วถามว่าจดจำใครได้บ้าง ซึ่งสกาย ดูรูปภาพตำรวจแล้ว ได้พยักหน้า พร้อมกับดูภาพตำรวจทั้ง 2 นาย
ต่อมาประมาณ 15.30 น. สกายออกจากการแถลง พร้อมกับที่ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์ในการสอบปากคำวันนี้ด้วย โดย พล.ต.ต.อาชยน กล่าวว่า ขอเวลาขึ้นไปพบกับสกาย พยานสำคัญก่อน ซึ่งวันนี้ได้ให้คณะกรรมการและทีมพนักงานสอบสวน 4-5 นาย เข้ามาร่วมสอบปากคำพยานอย่างละเอียดและครอบคลุมทุกประเด็น