ประธานศาลฎีกา ตรวจเยี่ยมศาลในจังหวัดพะเยาและในจังหวัดแพร่ พร้อมมอบนโยบายแก่ศาลยุติธรรมในภาค 5 รับฟังรายงานผลดำเนินการบริหารจัดการคดีตามแผนปฏิบัติการช่วงรอบปีที่ผ่านมา
ระหว่างวันที่ 31 มกราคม - 3 กุมภาพันธ์ 2566 นายโชติวัฒน์ เหลืองประเสริฐ ประธานศาลฎีกา พร้อมคณะ เดินทางตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่ผู้พิพากษา ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ผู้พิพากษาสมทบ และผู้ประนีประนอม ในพื้นที่ศาลยุติธรรมภาค 5 โดยวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ช่วงเช้า เวลา 09.20 - 17.00 น. เป็นการตรวจเยี่ยมศาลจังหวัดพะเยา ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดพะเยา ศาลจังหวัดแพร่ และศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแพร่ ในการนี้ศาลจังหวัดเชียงคำเข้าร่วมรับการตรวจเยี่ยม ณ อาคารศาลจังหวัดพะเยาด้วย
โดยมีนายสมชาย อติกรจุฑาศิริ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดพะเยา นายพินิจ บุญประเสริฐ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดเชียงคำ นางสาวรัชนี วิเศษชาติ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดพะเยา นายโสภณ ทับแห ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดแพร่ และนายอนันต์ ยอดเพชร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแพร่ พร้อมคณะ ให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ ประธานศาลฎีกาได้มอบนโยบายแก่คณะผู้พิพากษา ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนคณะผู้พิพากษาสมทบและผู้ประนีประนอม พร้อมทั้งรับฟังรายงานผลการดำเนินงานการปฏิบัติตามนโยบายประธานศาลฎีกา และแนวทางการปรับปรุงพัฒนาของศาล
โดยประธานศาลฎีกากล่าวเน้นย้ำถึงนโยบายการบริหารศาลยุติธรรมในปีนี้ซึ่งให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการคดีและการให้บริการประชาชน ศาลยุติธรรมทุกศาลพึงบริหารจัดการคดีด้วยความรวดเร็ว ถูกต้อง และเป็นธรรม โดยเฉพาะความรวดเร็วนั้นไม่เพียงแต่คดีเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้เท่านั้น หากศาลใดที่มีปริมาณคดีน้อย ผู้พิพากษาควรวางแผนบริหารจัดการคดีให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด เพราะหากคดีสำเร็จลงได้อย่างรวดเร็วย่อมส่งผลต่อความพึงพอใจของประชาชนในการปฏิบัติงานของศาลยุติธรรม สำหรับในส่วนงานธุรการ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของศาลพึงให้บริการประชาชนให้ได้รับความสะดวกในการใช้บริการของศาลมากที่สุด ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีและระบบสารสนเทศต่าง ๆ เช่น ระบบการบริการออนไลน์ศาลยุติธรรม (CIOS) ระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing System) มาช่วยให้บริการประชาชน แต่ประชาชนยังขาดความรู้และความเข้าใจในเทคโนโลยีต่าง ๆ จึงเป็นหน้าที่ของบุคลากรในศาลยุติธรรมที่ต้องประชาสัมพันธ์และแนะนำให้ความรู้แก่คู่ความ ทนายความ และประชาชน ให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและระบบสารสนเทศต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน บุคลากรของศาลยุติธรรมต้องเรียนรู้และปรับตัวให้มีศักยภาพและมีความพร้อมสำหรับการบริการประชาชนผ่านเทคโนโลยีดังกล่าวด้วย ประธานศาลฎีกายังกล่าวอีกว่า หากบุคลากรทุกภาคส่วนของศาลยุติธรรมมีคุณภาพ มีศักยภาพ มีประสิทธิภาพ และมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน ย่อมส่งผลให้องค์กรศาลยุติธรรมเจริญก้าวหน้าและธำรงความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนได้อย่างแท้จริง
และประธานศาลฎีกาได้เน้นย้ำในส่วนนโยบายร่วมใจ โดยได้กล่าวว่าการบริหารจัดการคดีอย่างมีประสิทธิภาพนั้น นอกจากการพิจารณาพิพากษาคดีด้วยความรวดเร็ว เป็นธรรมของผู้พิพากษา และการบริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพของข้าราชการเจ้าหน้าที่แล้ว ผู้ประนีประนอมก็เป็นกำลังสำคัญเช่นกัน การเพิ่มปริมาณคดีเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยย่อมเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการคดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากคดีสามารถสำเร็จลงได้ด้วยการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท ย่อมส่งผลให้คดีแล้วเสร็จไปได้อย่างเป็นธรรมด้วยความพึงพอใจของคู่ความทุกฝ่าย เป็นการลดปริมาณคดีที่คั่งค้าง และคดีที่จะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลสูงก็จะลดลง อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการอำนวยความยุติธรรมได้อีกทางหนึ่ง ส่วนศาลเยาวชนและครอบครัว แม้จะไม่มีปัญหาในเรื่องการบริหารจัดการคดี แต่ผู้พิพากษาสมทบ
ซึ่งเป็นบุคลากรที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งของศาลยุติธรรม เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องเกี่ยวกับคดีเยาวชนและครอบครัวก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน ไม่เพียงแต่การร่วมพิจารณาคดีและการร่วมทำโครงการเกี่ยวกับการฟื้นฟูเด็กและเยาวชนผู้กระทำความผิดเท่านั้น การจัดทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์อื่น ก็เป็นภารกิจที่สำคัญและสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับศาลได้เช่นกัน
จึงขอให้บุคลากรศาลยุติธรรมทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจปฏิบัติหน้าที่ ใช้ศักยภาพของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อรวมพลังในการบริการประชาชนต่อไป
โดยตลอดระยะเวลาการตรวจเยี่ยมศาลประธานศาลฎีกาได้ทักทาย พูดคุย และรับฟังปัญหาข้อขัดข้องจากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามส่วนงานต่าง ๆ รวมถึงให้กำลังใจในการปฏิบัติงานและขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนมุ่งมั่นทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ประธานศาลฎีกาและคณะมีกำหนดการที่จะเดินทางไปตรวจเยี่ยมศาลต่อในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งเป็นศาลในพื้นที่จังหวัดน่าน