แฉไส้ในเผด็จการ "คริส โปตระนันทน์" ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่และมูลนิธิเส้นด้าย ประกาศลาออกจากพรรคก้าวไกล ซัดอนาคตคงไม่ต่างจาก พรรคที่ดีแต่พูด

9 ก.พ. 66 ผู้สื่อข่าวรายงาน นายคริส โปตระนันทน์ อดีตว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตจตุจักร พญาไท ราชเทวี ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ และ มูลนิธิเส้นด้าย เปิดเผยว่าได้ลาออกจากพรรคก้าวไกลเป็นที่เรียบร้อย พร้อมแจงถึงเหตุผลผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวโดยระบุว่า

สวัสดีครับประชาชนที่รักทุกท่าน วันสองวันนี้มีคนสอบถามผมเข้ามาเยอะว่า ผมยังเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลอยู่หรือไม่? ผมเรียนถึงทุกท่านตามตรงว่า ผมมีความภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งในพรรคนี้ไม่น้อยกว่าใคร แต่ตัวผมก็ได้ลาออกจากสมาชิกพรรคก้าวไกลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพราะเหตุผลสามประการ


1. ผมอยากจะทำการเมืองในพรรคที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ความเป็นประชาธิปไตยของพรรคยังห่างจากที่พรรคโฆษณาอีกมาก การที่ผมได้มาร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่กับคุณธนาธรเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 เพราะผมไม่ได้มาทำการเมืองเพื่อให้ใครได้เป็น ส.ส. หรือเพื่อให้ใครได้อำนาจ หรือมาทำการเมืองเพื่อผลักดันวาระทางการเมืองของใครบางคน ผมอยากได้พรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงคือพรรคการเมืองที่ประชาชนเป็นเจ้าของ

 

เวลาจากวันนั้นถึงวันผ่านมา 5 ปี ต้องถามกลับไปที่ประชาชนผู้เป็นสมาชิกพรรค จำนวนกว่า 60,000 คน ว่าทราบบ้างหรือไม่ว่า พรรคมีประชุมสามัญวันไหน พรรคมีการคัดเลือกผู้สมัครส.ส.กันอย่างไร กลไกในการคัดเลือกนโยบายที่จะหาเสียงในคราวนี้ คุณเคยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหรือไม่? ใครจะได้เป็นส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้ คุณรู้หรือไม่? ผมในฐานะที่เคยเป็นสมาชิกตลอดชีพทั้งพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ตอบได้เลยว่า เรื่องทั้งหมดที่เป็นเรื่องที่สำคัญมากทั้งสิ้น ล้วนเป็นเรื่องของการตัดสินใจของคนกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น ผมให้ชื่อเล่นกลุ่มนี้ว่า “โปลิตบูโร”

หากการบริหารพรรคยังเป็นอย่างนี้ หากพรรคก้าวไกลได้อำนาจในการบริหารประเทศ พรรคก้าวไกลจะบริหารประเทศอย่างไร ก็คงต้องอยู่ที่คนกลุ่มนี้ ไม่ได้อยู่สมาชิกพรรคแต่อย่างใด
เรื่องดีๆ ใครก็พูดได้ แต่ทำยาก ผมก็เข้าใจ มิฉะนั้น พรรคก้าวไกลในอนาคตคงจะมีชะตากรรมไม่ต่างจากพรรคการเมืองที่ดีแต่พูด (Hypocrital party)


เรื่องนี้ผมสะท้อนให้แกนนำฟัง ผมพูดในที่ประชุมใหญ่พรรคทุกปี พูดกับทุกคน คำตอบที่ได้มีเพียงแค่ “ขอเวลาหน่อย” “เรายุ่งมาก อดทนหน่อยนะ ทำให้แน่ ๆ” “เลือกตั้งคราวหน้า เราทำแน่ ๆ”
ฟังดี ๆ มันคล้ายที่คุณประยุทธ์พูด “ขอเวลาอีกไม่นาน” เรื่องนี้ผมรับรู้อย่างลึกซึ้งด้วยตัวเอง เมื่อเดือนที่ผ่านมา ผมสอบถามผ่านแกนนำว่า ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจะจัดการอย่างไร


เป็นไปได้หรือไม่ที่ผมจะขยับไปลงส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เพราะมีโอกาสสูงมากที่เขตที่ผมลงรอบปี 62 (ราชเทวี พญาไท จตุจักร 2 แขวง) จะถูกแบ่งใหม่แยกเป็นสามส่วน และผมก็เชื่อว่า ความรู้ความสามารถของเราสามารถที่จะช่วยให้พรรคหาเสียงทั่วประเทศได้ เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา การทำงานของผมและเพื่อนๆในกลุ่มเส้นด้ายลงไปทำงานกับชุมชนแออัดทั่วทุกเขตในกทม. และในอีกหลายจังหวัดทั่วประเทศ จนส.ก.ในกลุ่มของผมได้รับเลือกตั้งจำนวนมาก และเกือบชนะอีกจำนวนหนึ่ง


คำตอบที่ได้กลับมาคือ คุณจะมาเป็นได้ยังไง? คุณเหยียบย่ำหัวใจคนในพรรคขนาดนี้
ผมก็งงสิครับนี่มันเรื่องอะไร ผมไปเหยียบใครตอนไหน พอนั่งนึกก็ถึงบางอ้อ
- ผมคัดค้านการลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครของส.ส.วิโรจน์ เพราะเห็นว่าตัวผู้สมัครของเราไม่ดีพอที่จะสู้กับผู้ว่าชัชชาติ

ผลคือ พรรคก้าวไกลแพ้ต่อผู้ว่าชัชชาติชนิดคะแนนทิ้งกัน 2 แสนกับ 1.2 ล้านเสียง

- ผมคัดค้านการแต่งตั้งส.ส.บัญชีรายชื่อคนหนึ่งมาเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งส.ส.ซ่อมเขตจตุจักร-หลักสี่ เพราะส.ส.บัญชีรายชื่อไม่มีทางที่จะเข้าใจการเลือกตั้งแบบเขต หากไม่เคยลงเลือกตั้งมาก่อน

ผลคือ พรรคก้าวไกลแพ้ในเขตชนิดคะแนนทิ้งกันเกือบหมื่นคะแนน

- ผมคัดค้านการแต่งตั้งส.ส.บัญชีรายชื่อคนหนึ่งมาเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งส.ส.ในกรุงเทพมหานคร ปี 66 อีกครั้ง เพราะเรากำลังเอาคนที่ทำเลือกตั้งแพ้มาแล้วครั้งหนี่งมาคุมเลือกตั้งที่สำคัญกว่าและใหญ่กว่า


- ผมในฐานะอดีตประธานมูลนิธิเส้นด้ายแถลงข่าวกรณีที่อาสาของมูลนิธิเข้าไปช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศจากอดีต ส.ก. พรรคก้าวไกล
ผลคือ ผมโดนถล่มจากสมาชิกพรรคว่า ไม่ปกป้องพรรค

ผมไม่เคยกลัวในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่เคยกลัวในการกระทำที่เราคิดว่าถูกต้อง และที่ผ่านมา ผมพูดตรงๆกับพรรคเสมอถึงความยุติธรรมในประเด็นต่าง เช่น การเกลี่ยทรัพยากรของส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ กับส.ส.เขต ความน้อยเนื้อต่ำใจของคนที่ลงพื้นที่เหล่านี้อยู่ในใจของผู้สมัครท้องถิ่น หรือผู้สมัครส.ส.เขตทุกคนแต่ไม่มีใครกล้าพูด แต่การที่ผมพูดกับแกนนำแบบนั้น มันทำให้ผมกลายเป็น


-ทำไมคุณถึงมีปัญหาตลอดเลย?
-ผมเป็นคนเลว เพราะผมต้องการแย่งเงิน แย่งทรัพยากรจากส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ?
-ผมเป็นคนไม่จงรักภักดีกับพรรค?
วันที่ผมนั่งคุยกับแกนนำเรื่องการขยับไปลงส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ วันนั้นแกนนำท่านหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท เปรียบเทียบให้ผมฟังว่า หากมีเซลล์ในบริษัท 2 คน คนแรกเป็นคนเก่ง คนฉลาด ยอดขายดีมาก ๆ แต่ต่อรองผลประโยชน์ตลอด กับอีกคนยอดขายครึ่งเดียวของคนแรก แต่จงรักภักดีมากๆ เขาจะเลือกคนที่สอง


ผมก็เลยรู้แล้วว่า ชะตากรรมผมในพรรคนี้จะเป็นตาย ร้าย ดี ก็ขึ้นอยู่กับว่า ผมจะพิสูจน์ความจงรักภักดีกับ “โปลิตบูโร” ได้หรือไม่? แน่นอนนั่นคือวิธีการบริหารงานแบบหนึ่ง เรื่องนี้ไม่มีถูก ไม่มีผิด แต่เมื่อคุณโฆษณากับประชาชนแล้วว่าคุณเป็นพรรคประชาธิปไตย พฤติกรรมของคุณต้องทำให้ได้ตามที่คุณพูด ไม่งั้นจะกลายเป็น สำนวนไทย ข้างนอกสุกใส ข้างในตะติ๊งโหน่ง


2. ผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายหลายประการของพรรคก้าวไกล
พรรคการเมืองอนาคตใหม่ที่ผมร่วมจัดตั้ง ผมฝันว่าพรรคจะเป็นสถาบันทางการเมืองที่เป็นเหมือนร่มคันใหญ่ ที่สามารถโอบรับได้กับความหลากหลายของสมาชิกพรรค ไม่ว่าจะเป็นความคิดการเมืองแบบฝั่งซ้าย ความคิดการเมืองแบบฝั่งขวา ความคิดเศรษฐกิจแบบเสรี ความคิดเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
วันแรกจุดร่วมของจุดใหญ่คือการไม่เอาเผด็จการ (เรื่องการแก้ไข 112 ในวันนั้นยังไม่ใช่วาระของพรรคด้วยซ้ำ) ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่เหลือ อ.ปิยบุตรยังเคยบอกผมตอนเถียงกับอ.ษัษรัมย์ (ตอนนั้นอ.เสนอเรื่องรัฐสวัสดิการ แต่ผมเสนอว่าคำตอบน่าจะเป็นเศรษฐกิจแบบเสรีมากกว่า) เรื่องนโยบายเศรษฐกิจของพรรคว่า เดี๋ยวค่อยไปคุยกัน เมื่อเราทำภารกิจสำเร็จ ต่างฝ่ายค่อยแยกออกไปตั้งพรรคก็ได้ 5 ปี เดินผ่านไป


วันนี้นโยบายของก้าวไกลหล่นลงมาจากฝากฟ้า หล่นลงมาจากห้องแอร์ ไม่ว่าคุณจะเรียกชื่อมันว่าอะไร
วันนี้หนึ่งในนโยบายหาเสียงที่สำคัญที่สุดของพรรคก้าวไกลคือ เงินบำนาญของคนที่อายุเกิน 60 ปี ถ้วนหน้าเดือนละ 3,000 บาท หากนโยบายนี้สำเร็จ รัฐบาลจะมีรายจ่ายจากแปดหมื่นกว่าล้าน เป็นสามแสนล้านหกหมื่นล้านบาททันที


หากใช้นโยบายนี้ต่อไปอีก 10 ปี คนสูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะกลายเป็น 20 ล้านคน เราจะมีรายจ่ายประจำปีปีละ 6 แสนกว่าล้านบาท หรือเท่ากับประมาณ 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ประเทศไทยเตรียมรับความชิบหายได้เลยครับ


วันนี้ถ้าไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ ถ้าผมอยู่ในพรรค ผมจะทำอย่างไรได้ครับ นอกจากเวลาใครพูดถึงนโยบายนี้ก็เงียบๆ แล้วกระซิบกับเค้าว่า ผมไม่เห็นด้วยนะ


ที่ผ่านมาวัฒนธรรมของพรรคคือ ไม่เห็นด้วยอะไรก็คุยกันภายใน เพราะถ้าผมพูด คนในพรรคก้าวไกลจำนวนมากที่ไม่สามารถแยกแยะได้ก็จะชี้หน้าคนที่คิดไม่เหมือนตนว่า ไม่มีอุดมการณ์ ไม่จงรักภักดีต่อพรรค ผมคนหนึ่งที่คิดไม่เหมือนพรรคทั้งหมด จะมีทางไหนเป็นทางออกครับ เมื่อระบบในพรรคเป็นแบบนี้ ผมซึ่งกำลังจะเสนอตัวลงเลือกตั้งในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล


จึงไม่สามารถจะเป็นเซลล์ขายนโยบายของพรรคได้จริงๆ เพราะเราเป็นนักการเมือง เรามีความเชื่อของเรา เราไม่ใช่นักขายที่ไม่ว่าของจะดีหรือไม่ดี ก็ต้องโกหกประชาชน บางคนบอกผมว่า อดทนอีกเดียวเอง จะได้เป็นส.ส.แล้ว ถ้าผมได้เป็นส.ส.แล้วผมต้องทรยศต่อตัวเอง ทรยศต่อประชาชน ผมไม่เป็นครับ


3. ผมไม่สามารถโกหกประชาชนได้
ครั้งนี้ผมจะลงเลือกตั้งรับสมัครเป็นส.ส.อีกครั้งหนึ่ง แต่ผมไม่สามารถลงเลือกตั้งกับพรรคก้าวไกลได้ เพราะถ้าผมชนะเลือกตั้ง มันก็เท่ากับผมโกหกประชาชน ผมพูดนโยบายที่ผมไม่เชื่อ ผมพูดถึงพรรคที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการจัดการ ผมจะพูดถึงพรรคได้เต็มปากได้อย่างไร
พรรคบอกว่า พรรคเป็นพรรคของประชาชน แต่ตอนนี้พรรคกำลังจะกลายเป็น “พรรคพวก” คนที่ได้ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จำนวนหนึ่งกำลังได้เป็นต่อในสมัยหน้า หาก “โปลิตบูโร” ถูกใจ ยังงั้นหรือ? หากพรรคจะเป็นพรรคของประชาชนจริงๆ พรรคต้องกล้าทำตามข้อเสนอ set zero ของอ.ปิยบุตร พรรคต้องกล้าเปิดให้สมาชิกโหวตผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อทางตรงอย่างโปร่งใส เพื่อพิสูจน์กับประชาชน ว่านี่คือพรรคการเมืองสมาชิก เป็นพรรคการเมืองของประชาชน ไม่ใช่พรรคการเมืองของโปลิตบูโร ไม่ใช่พรรคการเมืองของ “พรรคพวก”


ผมย้ำอีกครั้งว่า การที่ผมลาออกจากพรรคก้าวไกล ไม่ใช่เพราะผมโกรธ หรือ เกลียด หรือน้อยใจ แต่เป็นเพราะไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของพรรค ผมยังภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันประเด็นสังคมที่ผมเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตย หรือ เรื่องการเปิดใบอนุญาตสุรา ให้มาถึงจุดจุดนี้
แต่การลาออกของผมจะมีคุณูปการใดๆต่อการบริหารงานของพรรค หากพรรคไม่ปรับการบริหาร แทนที่พรรคก้าวไกลจะใหญ่ขึ้น พรรคจะเล็กลงเรื่อย ๆ จนเหลือแต่ “เลือดแท้” แต่การเหลือแต่เลือดแท้จะมีประโยชน์อย่างไร หากเลือดแท้นั้นมีจำนวนน้อย และไม่มีเสียงพอที่จะผลักวาระของพรรคให้สำเร็จผ่านระบบรัฐสภา


ตลอดเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ผมขอขอบคุณอาจารย์ปิยบุตรที่ชวนผมเข้ามาทำงานทางการเมือง แม้ว่าอาจารย์จะชิงลาออกตัดหน้าผมไปก่อนก็ตาม ผมขอขอบคุณพี่เอก คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ได้ให้โอกาสเป็นหัวหน้าคณะทำงานนโยบายเศรษฐกิจที่พรรคอนาคตใหม่ ผมขอขอบคุณ เพื่อนๆทั้งในในพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลและประชาชนที่ได้ร่วมเดินทางกันทุกๆท่าน
ถนนแห่งประชาธิปไตยไม่ได้มีทางเดียว แล้วพบกันที่ปลายทาง