แม่พาลูกสาวร้องถูกแก๊งคอลเซนเตอร์แต่งกายเป็นตำรวจ ขู่พัวพันแก๊งยาเสพติด หลอกโอนเงินสูญ 5.8 แสน
วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.สวย (นามสมมติ) อายุ 50 ปี น.ส เอิร์น (นามสมมติ) อายุ 24 ปี แม่และลูกสาว มาพบผู้สื่อข่าว เล่าเรื่องที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์แต่งกายเป็นตำรวจ หลอกให้โอนเงิน 580,000 บาท เป็นอุทาหรณ์ และให้ตำรวจช่วยจับคนร้ายที่ก่อเหตุให้ด้วย เหตุเกิดวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
น.ส.เอิร์น เล่าว่า ตนเพิ่งเรียนจบครุศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.ร้อยเอ็ด กำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบบรรจุข้าราชการครู ต่อมามีโทรศัพท์จากผู้หญิงอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร แจ้งว่าตนใช้บัตรเครดิตรูดซื้อสินค้าในห้างแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี และไม่ชำระยอด 50,900 บาท ที่ห้างแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี ตนก็ปฏิเสธว่าไม่เคยมีบัตรเครดิต และไม่เคยใช้บัตรเครดิต แต่เจ้าหน้าที่ธนาคารบอกว่า น่าจะมีคนอื่นเอาบัตรประชาชนของตนไปเปิดบัตรเครดิต จากนั้นก็บอกตนว่าจะโทรไปหาตำรวจ สภ.เมืองชลบุรี
น.ส.เอิร์น เล่าต่อว่า ไม่นานก็มีชายแต่งเครื่องแบบตำรวจวิดีโอคอลมาหาตน แนะนำตัวว่าชื่อ สมพงษ์ จันทร์ภูมา เห็นใบหน้าและมีเสียงวิทยุ แต่ไม่เห็นบรรยากาศรอบๆ จากนั้นก็ให้คำปรึกษา แล้วให้ลงบันทึกประจำวันไว้ ซึ่งตำรวจมีหมายเลขบัตรประชาชนของตนอยู่แล้ว และนำไปตรวจสอบ พร้อมกับแจ้งว่าตนมีส่วนพัวพันการฟอกเงินยาเสพติด เขาหาว่าตนเปิดบัญชีเองที่ จ.ชลบุรี จากนั้นก็ให้ตนคุยกับตำรวจ สารวัตรเจ้าของคดี อ้างชื่อว่า รองฯ วิรุต สาระสิทธิ์ บอกว่าเป็นคดีใหญ่ จากนั้นก็สอบปากคำตน และให้ตนรับสารภาพ
น.ส.เอิร์น เล่าต่อไปว่า สารวัตรถามตนว่า มีเงิน 7 แสนบาทโอนเข้าบัญชีตนใช่หรือไม่ ซึ่งก็ตรงกับจำนวนเงินที่โอนเข้าบัญชีตน เพราะตนเป็นผู้รับสินไหมจากการทำประกันอุบัติเหตุให้ญาติ ซึ่งญาติเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต มีเงินโอนเข้าบัญชี 7.4 แสนบาท และอ้างต่อว่ากลุ่มคนร้ายที่พัวพันยาเสพติดได้ถูกจับแล้ว และสารภาพว่าตนไปขายบัญชีธนาคารให้กลุ่มดังกล่าว และได้โอนเงิน 7 แสนบาทเข้าบัญชีตน ซึ่งตนรู้สึกตกใจเพราะยอดเงินทำไมตรงกัน ตำรวจจึงให้ตนโอนเงินไปให้ ปปง.ตรวจสอบ ถ้าตนไม่ยอมโอน ตำรวจก็จะอายัดบัญชีจะใช้ไม่ได้เป็นเวลา 3 ปี และจะดำเนินคดีข้อหาฟอกเงิน จับตนไปขังไว้ที่ จ.ชลบุรี โดยมีการส่งเอกสารหมายศาลผ่านทางไลน์มาข่มขู่ด้วย
น.ส.เอิร์น เล่าอีกว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในคราบตำรวจยังขู่ตนอีกว่า ห้ามนำเรื่องนี้ไปปรึกษาใคร เพราะจะโดนคดีไปด้วย หลังจากโดนขู่ก็คิดแล้วคิดอีกและยังไม่โอนเงิน แถมยังถามอีกว่าจะไปสอบข้าราชการครูไม่ใช่เหรอ ถ้ามีคดีขึ้นมาก็หมดอนาคตไปเลย ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ารู้ได้อย่างไรว่าจะไปสอบครู เลยบอกไปว่าจะไปแจ้งความโรงพักในท้องที่ภูมิลำเนาที่ตนอยู่ ก็ขู่มาอีกว่าคดีนี้เป็นคดีใหญ่ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ถูกจับก็มีแต่ทหารยศใหญ่ ถ้าไปแจ้งความแล้วจะไม่ปลอดภัย คนที่ยังไม่ถูกจับกุมก็จะมาทำร้าย
“สาเหตุที่โอนเงินไป เพราะไม่มีทางเลือก เพราะถูกกดดันและโดนขู่ จึงตัดสินใจโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง ชื่อเจ้าของบัญชี นายสันติภาพ บุญธิมา โดยให้แบ่งโอน 2 ครั้ง โอนครั้งแรก 440,000 บาท ครั้งที่สอง 140,111 บาท รวมเป็นเงินที่โอนไป 580,111 บาท โดยจะตรวจสอบ 2 วัน แล้วจะโอนเงินคืน หลังโอนเงินไปแล้ว ตำรวจคนดังกล่าวยังวีดีโอคอลพูดคุยให้ความเชื่อถือ ไม่นานตำรวจก็บอกว่าจะไปประชุมแล้วก็วางสาย พอตนโทรกลับไปก็ไม่รับสาย ตนจึงรู้ว่าถูกหลอกแน่นอน จึงไปบอกแม่และมาแจ้งความที่ สภ.เมืองอุดรธานี ซึ่งเงินจำนวนนี้ตนวางแผนไว้ว่าจะนำไปสร้างบ้าน แต่ก็มาถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกไป และอยากจะเตือนภัยว่า อย่าเชื่อใจใคร ให้ไปปรึกษาคนในครอบครัวก่อน แล้วมาแจ้งตำรวจ”
ทางด้าน น.ส.สวย แม่ น.ส.เอิร์น เปิดเผยว่า ได้ทำประกันชีวิตให้ญาติ เมื่อ 1 เดือนก่อนญาติได้เสียชีวิต จึงได้โอนเงินสินไหมให้ลูกสาวและลูกชายคนละ 7.4 แสนบาท พอรู้ว่าลูกถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก ก็รู้สึกเสียใจกว่าจะได้เงินมา ลูกไม่ดูข่าวเลย พ่อและแม่ก็บอกตลอด ซึ่งตนก็เคยถูกแก๊งนี้โทรหา 3-4 ครั้ง แต่ตนดูข่าวก็รู้ ก็กดทิ้งไม่คุยด้วย ส่วนลูกอีกคนก็โอนเงินให้ตน ซึ่งตนก็เอาไปเข้าบัญชีธนาคารไว้ และไม่ใช้แอปฯ ธนาคารทำธุรกรรมการเงินในโทรศัพท์ด้วย เงินที่โดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกก็ไม่เคยได้คืนสักคน ฝากเตือนประชาชนทั่วไป หากมีสายแปลกโทรหาก็อย่ารับ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ