ตำรวจภูธรภาค 9 จับยาบ้า 1 ล้านเม็ด ด้านเลขาธิการ ป.ป.ส. สั่งขยายผลยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติดทุกมิติ เผยยอด 4 เดือน ยึดทรัพย์กว่า 2 หมื่นล้านบาท
นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส. ) กล่าวถึง กรณีที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ภาค 9 จับผู้ต้องหาชาว อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รวม 3 คน คือ นายสรายุทธ อายุ 37 ปี นายวีรยุทธอายุ 39 ปี และนายทรงพล อายุ 35 ปี พร้อมของกลางยาบ้า 1 ล้านเม็ด เหตุเกิดที่ริมถนนเพชรเกษมขาเข้าหาดใหญ่ ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กลางดึกคืนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า “คดีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ตรวจสอบในฐานข้อมูลการข่าวของ ป.ป.ส. พบว่า ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมเป็นเครือข่ายการค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ จ.สงขลา ค้ายาเสพติดมาเป็นระยะเวลานาน และล้วนแต่มีประวัติเคยถูกจับกุมคดียาเสพติดมาก่อน ทั้งยังมีสมาชิกเครือข่ายอยู่ในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ทั้งที่ทำหน้าที่กระจายยาเสพติด และดำเนินการเรื่องการเงินและทรัพย์สิน บางรายในอดีตเคยต้องโทษจำคุกอยูในเรือนจำ แต่ยังลักลอบใช้โทรศัพท์ติดต่อสั่งซื้อยาเสพติดจำนวนมากจากนักค้าในประเทศเพื่อนบ้านและพื้นที่ภาคเหนือ ลงไปกระจายจำหน่ายใน จ.สงขลา จ.สตูล และจังหวัดใกล้เคียง
จากพฤติการณ์ของผู้ต้องหา ประกอบฐานข้อมูลการสืบสวนของสำนักปราบปรามยาเสพติด ป.ป.ส. เชื่อว่า กลุ่มขบวนการนี้มีทรัพย์สินที่ได้จากการค้ายาเสพติดอยู่ในครอบครองเป็นจำนวนมาก ขณะนี้ได้สั่งการให้สำนักปราบปรามยาเสพติด และ ปปส.ภาค 9 ซึ่งรับผิดชอบภาคใต้ตอนล่าง เร่งประสานข้อมูลกับชุดจับกุม เพื่อร่วมกันขยายผลเครือข่าย และติดตามยึด/อายัดทรัพย์สินโดยเร่งด่วน”
เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวอีกว่า “ปี 2566 นี้ ได้ยกระดับงานปราบปรามยาเสพติดขึ้นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน โดยกำหนดมาตรการยึด/อายัดทรัพย์สินเป็นมาตรการพิเศษแยกเฉพาะออกมาจากงานปราบปรามยาเสพติด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการปราบปรามสูงสุด มุ่งเน้นการยึด/อายัดทรัพย์สินคดียาเสพติด ตัดวงจรการค้าในทุกระดับและทุกคดี ซึ่งนับตั้งแต่ประมวลกฎหมายยาเสพติดบังคับใช้เมื่อเดือนธันวาคม 2564 เป็นต้นมา มาตรการยึด/อายัดทรัพย์สินกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถยึด/อายัดทรัพย์สินได้เฉพาะใน 4 เดือนแรก ของปีงบประมาณ 2566 นี้ สามารถยึดได้แล้วกว่า 21,093 ล้านบาท”