"ทักษิณ" คุยโวคนไทยไม่ต้องพึ่ง "บัตรสวัสดิการพลัส" หากเพื่อไทยเป็นรัฐบาลบัตรคนจนจะถูกเมินเพราะมีรายได้มากกว่า 1,000 บาท ซัดเวลาคิดนโยบายต้องมีแนวทางหาเงินด้วย ไม่งั้นเศรษฐกิจพัง กลายเป็นหนี้ฟรี ๆ
วันที่ 8 มี.ค.66 สืบเนื่องจากวานนี้ (7 มี.ค.66) เพจ CARE คิด เคลื่อน ไทย ได้ไลฟ์ในหัวข้อ "นโยบายเศรษฐกิจพรรคไหน...ทำใจเธอละลายยย" โดยได้พูดคุยกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักนายกรัฐมนตรี
ซึ่งในช่วงตอนหนึ่งของรายการได้มีการแสดงความคิดเห็นถึงนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยเฉพาะนโยบายสิทธิบัตรสวัสดิการพลัส 1,000 ต่อเดือน (บัตรคนจน)
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าเวลาออกนโยบาย ต้องคิดด้วยว่า ต้องมีนโยบายหาเงินประกอบด้วย ถ้าไม่มีแล้วจะใช้เงินอย่างเดียวสุดท้ายจะเหมือนเวเนซุเอลา
ดังนั้นผู้นำต้องคิดว่าจะหาเงินได้อย่างไร เพราะเราอยากให้ประชาชนมีรายได้ แต่ต้องไม่ใช่ด้วยการแจกเงินไปวัน ๆ วันนี้ตนเองเห็นนโยบายของแต่ละพรรค มักจะเป็นท่อน ๆ ขาดการมองภาพรวมว่าเราจะลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้อย่างไร เพื่อให้วนกลับมาเป็นภาษีให้รัฐมาพัฒนาประเทศต่อ ซึ่งส่วนใหญ่จะพยายามแข่งกันประชานิยม คือ จ่ายอย่างเดียว แต่ยังไม่เห็นนโยบายหาเงินเลย
หลายคนยังไม่เข้าใจปรัชญาของนโยบายประชานิยมที่ยั่งยืน แถมไม่เข้าใจแล้วยังมาโจมตีสุดท้ายสุดก็เลียนแบบ แต่ก็เลียนแบบเป็นท่อน ๆ ไม่เข้าใจวิธีคิด แข่งแบบนี้เลยล่มจม
ยังพูดถึงนโยบายบัตรสวัสดิการ หรือบัตรคนจน ของพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐว่า จะให้ประชาชนพึ่งเงินนี้ตลอดเลยหรืออย่างไร เพราะสิ่งสำคัญคือต้องสร้างงานให้ประชาชน อย่างพรรคเพื่อไทยมีโครงการซอฟต์พาวเวอร์ครอบครัวละคน มาฝึกอาชีพเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับครอบครัว จะได้ไม่ต้องไปพึ่งพาบัตรคนจน เพราะพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล บัตรคนจนจะถูกเมินไปเองโดยไม่ต้องยกเลิก เพราะประชาชนจะมีรายได้มากกว่า 1,000 บาท ในบัตรคนจน
และเราต้องเข้าใจว่า เศรษฐกิจทั่วโลกเป็นเศรษฐกิจทุนนิยม รัฐบาลต้องรู้ทันว่าเศรษฐกิจทุนนิยมอันตรายอย่างไร เราจะลดความเหลื่อมล้ำอย่างไร เราจะกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดับอยู่ให้กลับมาฟื้นอย่างไร ถ้าเพื่อไทยทำตามที่ประกาศปี 2566 เป็นรัฐบาล ปี 2567 เศรษฐกิจโต 7 % แน่นอน
“ดังนั้นต้องมีความเข้าใจและเห็นใจคนที่กำลังสู้เขาไม่ได้ ต้องอุ้มและประคองให้เขาสามารถวิ่งไปให้ได้ ไม่ใช่ไปอิกนอร์ ว่าเป็นคนจน โง่ ขี้เกียจ เพราะ โง่ ขี้เกียจ เป็นผลมาจากการบริหารเศรษฐกิจที่เลวร้าย เขาไม่ได้เกิดมาโง่ เกิดมาขี้เกียจ แต่ไม่มีงานให้เขาทำ”
ขณะเดียวกันนายทักษิณยังพูดถึงพรรคพลังประชารัฐด้วยว่าค่อนข้างจะเสียเครดิตเพราะที่ผ่านมา 13 นโยบายยังไม่ได้ทำ ทั้งที่ เป็นรัฐบาล และมีนายกรัฐมนตรี มาจากพรรคพลังประชารัฐ แม้ตอนท้ายจะแตกแยกกันก็ตาม
นอกจากนี้ ยังพูดถึงนโยบายพรรคภูมิใจไทยโดยเฉพาะพักหนี้ 3 ปี ว่า “เฉยๆ มันไม่ตื่นเต้นอ่ะ” ไม่มีอะไรน่าสนใจ เพราะพักหนี้ก็ปราศรัยมาตั้งแต่ปี 2543 วันนี้นโยบาย เศรษฐกิจไม่ใช่นโยบายที่ล่อเอาคะแนนอย่างเดียว
"โอเค แน่นอน คุณอยากให้คนนิยมเอาเศรษฐกิจที่คนนิยม แต่ปัญหาต้องมีแนวทางเอาเศรษฐกิจกลับคืนมา ให้ประเทศกลับสู่วินิยการคลังที่ถูกต้อง ไม่ใช่เงินหมดแล้วกู้ อย่างงี้มีแต่พัง ยิ่งเอาเงินกู้เยอะ ๆ มาให้คนที่ใช้ไม่เป็น ยิ่งเป็นหนี้ฟรีๆ เพิ่มหนี้ฟรี ๆ"
วันนี้ต้องคิดนโยบายภาพรวมที่จะทำให้ประเทศเจริญขึ้น คนดีขึ้น มีความสุขขึ้น มีโอกาสร่ำรวยขึ้น เห็นอนาคตตนเอง ต้องมีเป็นแพคเก็จว่าจะจัมพ์สตาร์ทเศรษฐกิจอย่างไร เพราะเศรษฐกิจวันนี้ไม่ดับก็เหมือนดับ โตต่ำกว่าเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ในช่วงท้าย นายทักษิณระบุว่า ประชาชนต้องมียุทธศาสตร์ว่าจะมอบหมายความไว้วางใจให้ใครแล้วเทไปเลย ไม่งั้นไม่สามารถเปลี่ยนประเทศได้ ไม่งั้นก็วนไปไม่ ป.หนึ่ง ก็อีก ป.หนึ่ง ไม่งั้นไม่ไหว