เปิดใจ "คุณหญิงพรทิพย์" หลังถูกป.ป.ช. สั่งฟ้องปม GT200 เผยไม่เคยได้รับโอกาสชี้แจง เชื่อมีนัยยะทางการเมือง

แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทีมข่าวช่อง 8 ถึงประเด็นถูกป.ป.ช. สั่งฟ้องเองคดีจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดและสารเสพติดGT200 , Alpha6 ว่า การจัดซื้อจัดจ้างGT200 ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เริ่มมาตั้งแต่ปี 2551 แต่ขณะที่ในส่วนของทหารใช้มาตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งในขณะนั้นประเทศอังกฤษใช้รบกับอีรัก และในทางภาคใต้ทหารทุกหน่วยก็ใช้

กระทั่งปี 2553 มีประเด็นทางการเมืองที่ลุกขึ้นมาตีทหาร ในมุมการปฏิบัติงานในพื้นที่ภาคใต้ ใช้ GT-200 ไปพิสูจน์ความผิดของบุคคล ในฐานะที่ตนทำงานในพื้นที่และได้ออกมาอธิบายว่าอย่างแรก คือเราไม่ได้ใช้พิสูจน์ทราบใช้แค่ตรวจสอบบ้านเรือน ที่มีความน่าสงสัย ซึ่งไม่เคยใช้อุปกรณ์ดังกล่าวฟ้องศาล และที่สำคัญเครื่องมือดังกล่าวนี้ไม่ใช่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ แต่สังคมไปตีความว่าตนสนับสนุนอุปกรณ์ดังกล่าวนี้ว่าได้ประโยชน์ ซึ่งเชื่อเป็นอีกหนึ่งปัจจัยทางสังคม ที่ไปบีบทาง ป.ป.ช. ให้ดำเนินการ และมีการตรวจสอบในช่วงปี 2553 และป.ป.ช. เข้ามาช่วงปี 2555

จากนั้นในปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ป.ป.ช. มีหนังสือมาถึงตนและทีมงาน และมีการแจ้งข้อกล่าวหาให้ชี้แจงและคดีจะหมดอายุความในเดือนกรกฎาคม 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ โควิด-19 อย่างหนัก
โดยตนได้ทำหนังสือชี้แจงเบื้องต้นและขอไปชี้แจงด้วยตนเอง แต่ไม่เคยได้รับโอกาสนั้น และมารับรู้สัญญาณอีกครั้งคือเดือนมกราคม 2565 ซึ่ง ป.ป.ช. คงมีหนังสือถึงกระทรวงและอัยการ เมื่อเรารับรู้จึงใช้สิทธิ์ทางกฎหมาย จากข้อกล่าวหาเบื้องต้นโดยมีการยื่นหลักฐานใหม่ไปทาง ป.ป.ช. อัยการ และถวายฎีกา เพราะมองว่าไม่มีความเป็นธรรมไม่ได้รับโอกาสในการชี้แจง ทั้งนี้หลังจากที่ได้ทำหนังสือชี้แจงก็ไม่ได้ทราบเรื่องราวอีกจนกระทั่งเมื่อวาน ( 8 มีนาคม ) ได้ทราบข่าวจากสื่อมวลชน

อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การทุจริต แต่เมื่อพูดถึง ป.ป.ช. ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าบุคคลที่ถูกกล่าวหาคือทุจริต โดยข้อกล่าวหาของตนนั้น คือ การจัดซื้อเครื่องมือที่ไม่ได้มาตรฐานเหตุใดจึงไม่มีการตั้งผู้เชี่ยวชาญ ในการจัดซื้อมีการขอเพิ่มราคาในใบเสนอราคา จำเป็นที่จะต้องมีการเปรียบเทียบในฐานะอธิบดีฯ เมื่อมีการจัดซื้อเหตุใดจึงไม่ส่งสัญญาไปให้สตง. ตรวจสอบ ซึ่งข้อกล่าวหาออกมาในเชิงของธุรการ โดยมีการค้นหาข้อมูลเอกสารโดยพบว่าทางราชการไม่จำเป็นต้องตั้งผู้เชี่ยวชาญเสมอ ในส่วนของการปรับเปลี่ยนราคาคนที่ลงนามคือรักษาการอธิบดีฯ ตนนั้นมีเอกสารที่ยืนยันตัวตนว่าปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดใช้แดนภาคใต้ ซึ่งคนที่ลงนามควรจะเป็นคนรับผิดชอบ และสัญญาเหตุใดจึงไม่ส่งสตง. พบว่ามีการตรวจสอบภายในหลังจากนั้นไม่นานและพบเจอและได้มีการดำเนินการเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ตนยังมีอะไรบางส่วนที่อยากอธิบายเพื่อให้เกิดความเข้าใจแต่ไม่ได้มีโอกาสนั้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับสำนวนหรือเรื่องทุจริต แต่เป็นเรื่องนโยบายของการปฏิรูประบบราชการปี 2545 หน่วยงานสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ถูกก.พ. กำหนดให้ไปใช้หน่วยงานสนับสนุนของกระทรวงยุติธรรม เช่นเรื่องพัสดุ การเงิน ให้กระทรวงมาช่วย ดังนั้นหากจะผิดพลาดก็มีโอกาสเกิดได้มากกว่าหน่วยงานอื่น เนื่องจากเป็นหน่วยงานใหม่ แล้วทำไมกระทรวงจึงไม่ตรวจสอบให้เจอ และไม่แนะนำ

เมื่อถามว่าอัยการไม่สั่งฟ้อง แต่ป.ป.ช. จะฟ้องเอง รู้สึกอย่างไรบ้าง แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า โดยข้อกฎหมายสามารถทำได้เพราะเป็นสิทธิ์ของป.ป.ช. ส่วนที่สั่งฟ้องตนไม่อยากไปตัดสินว่าเป็นการกลั่นแกล้ง แต่กระบวนการยุติธรรมแบบป.ป.ช. ทุกคนเรียกว่ากฎหมายปิดปาก ซึ่งตนอยากให้นึกถึงภาพผู้บริสุทธิ์ที่ต้องจ่ายเงินเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เช่น กรณีตนถูกทนายเรียกไปแล้วประมาณ3-4 แสนบาท กับการเขียนจดหมายชี้แจง และหากจะดำเนินการทางคดีถูกเรียกราคาประมาณ 1.3 ล้านบาท ขณะที่ตนหากใครไม่ได้รับความเป็นธรรม และเดินเข้ามาหาเราไม่เคยคิดค่าใช้จ่าย และขับเคลื่อนให้มีสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วยให้ผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมต้องแบกภาระ แต่สิ่งที่กฎหมายดังกล่าวนี้เป็นถือว่าแปลกทำให้เราไม่มีโอกาสชี้แจง และหากถึงจุดสิ้นสุด ป.ป.ช. จะเยียวยาตนหรือไม่ เพราะเราเป็นข้าราชการที่ตั้งใจทำงานโดยเฉพาะกับงานในพื้นที่ภาคใต้มาทั้งชีวิต นอกจากนี้ยังมีการนำความเห็นที่เกิดขึ้นในภายหลังจากผู้ที่เป็นนักวิชาการจากบริษัทต่างๆ ไปฟ้องซึ่งเป็นเหตุที่เกิดขึ้นในปี 2553-2554 เอาไปตัดสินสิ่งที่เขาทำโดยไม่มีความรู้หรือมีข้อมูลในปี 2551 ถูกต้องแล้วหรือไม่ด้วยหลักกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้หลักการกระบวนการยุติธรรมในส่วนของคดีอาญา ถ้าอะไรยังไม่แล้วเสร็จ 100% ปล่อยคนกระทำความผิดดีกว่าการลงโทษผู้บริสุทธิ์ แต่คงจะใช้ได้กับกระบวนการในกฎหมายของป.ป.ช.

ขณะนี้ป.ป.ช. บางคนถูกโจมตี เช่น ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ออกมาแฉ มองว่าอย่างไรบ้าง แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ทุกเรื่องหากไม่มีมูลก็ไม่มีข่าวออกมา ดังนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่ากระบวนการที่ได้มาทุกอย่าง ไม่ได้หมายถึงแค่ป.ป.ช. หนีไม่พ้นการเมืองทุกสมัย สำหรับตนถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียใจตั้งแต่ปี 2547 จนเกษียณในปี 2558 เราใช้นิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์คือทหารและตำรวจ แต่เขากลับไม่ได้ดูดำดูดีเราเลย โดยเฉพาะหากพูดถึงเรื่องGT200 จะเห็นว่าคนที่ซื้อเครื่องนี้หลัก 100 ตัว กลับไม่โดนอะไร แต่คนที่มีอยู่ 3 ตัวทำไมกลับโดนคดี ในขณะที่เครื่องบางตัว เช่น Alpha6 คนละแบบกับ GT200 กรมการปกครองกับป.ป.ส. ได้ใช้ ตรวจสอบยาเสพติดมาก่อน และมอบให้เราก็โดนอีก ยืนยันจะไม่วิ่งเต้น เพราะตนจะสู้ เพราะที่ผ่านมาสู้ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับคนอื่นมาแล้ว วันนี้จะสู้เพื่อให้ความเป็นธรรมกับลูกน้องและตนเอง และจะไม่ยอมให้ลูกน้องที่เป็นข้าราชการที่เสียสละลงไปอยู่ในสถานการณ์อันตราย จะต้องมาถูกลงโทษจากกฎหมายนี้

เมื่อถามว่า หลังจากมีการพิสูจน์การใช้งานของ GT200 ยืนยันว่าใช้ไม่ได้จริง ส่วนตัวคิดยังไงกับอุปกรณ์นี้ แพทย์หญิงคุณหญิง พรทิพย์ กล่าวว่า เราไม่ใช้อารมณ์ เราใช้สิ่งที่ตาเรามองเห็น เมื่อลูกน้องต้องการใช้และอำนวยความสะดวกเรายอมให้ ซึ่งไม่ได้ไปทำอันตรายใคร และที่สำคัญเมื่อเกิดเป็นประเด็นขึ้นจริงๆ บริษัททางอังกฤษได้ติดต่อตน และเป็นคนทดสอบรวมถึงตนได้ให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งได้ทำการทดสอบ ไม่ว่าจะซ่อนปืนไว้ตรงไหนก็หาเจอหมด โดยที่เราก็ไม่เข้าใจเพราะไม่ได้มีการทำค่าทางสถิติ ดังนั้นต้องเอาใจที่เป็นกลางมาดูเจตนาวัตถุประสงค์ของการใช้ เราไม่ได้ใช้เพื่อการพิสูจน์คนผิดและที่สำคัญการจัดซื้อที่โกงต้องไปดำเนินการให้ได้ ไม่ใช่มาจับเราที่อาจจะซื้อผิดวิธี 3 เครื่องแต่โดน แต่ซื้อ 500 เครื่องไม่โดน ซึ่งเหมือนกับเราถูกกล่าวหาแบบเหมาเข่ง ส่วนจะเป็นการดำเนินการทางกฎหมายสองมาตรฐานหรือไม่นั้นเรื่องนี้จะต้องให้ทางป.ป.ช. เป็นคนตอบ

เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นมองว่ามีนัยยะทางการเมือง มีใบสั่งหรือไม่ แพทย์หญิงคุณหญิง พรทิพย์ กล่าวว่า เมื่อไม่มีพยานหลักฐานชัดเราไม่อาจจะไปปรักปรำ แต่มีพยานหลักฐานแวดล้อมไปถึงคนที่ตัดสินคดีตน ซึ่งคือคนรับผิดชอบและทำให้กรรมการใหญ่ต้องฟังเขา เพราะบุคคลดังกล่าวเคยขวางพ.ร.บ.นิติวิทยาศาสตร์มาแล้ว โดยในวันที่กฎหมายนี้เข้าสู่สภาฯในปี 2558 จะมี สนช. คนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาด่าตน ซึ่งบุคคลดังกล่าวนี้ไม่ใช่ตำรวจ และไม่ทราบว่าเขาเป็นใครจนกระทั่งมาเห็นกระบวนการเข้ามาเป็น ป.ป.ช. ถามว่าโกรธไหมไม่โกรธ แต่จะวางใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีอคติเพราะในวันนั้นหากไปย้อนดูเหตุการณ์จะระบุได้เลยว่าเป็นใครที่อภิปราย แต่อย่างไรก็ตามเรายังตอบไม่ได้ว่ามีอะไรหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็สามารถตอบกับสังคมได้ว่า ที่ทุคนชอบด่าตนว่า “หมอที่หลบอยู่กับทหาร แล้วเป็นยังไงหล่ะ” ซึ่งเราพยามอธิบายและไม่ได้ขอว่าให้ช่วยเราทุจริต เราเป็นหน่วยงานเล็กไม่มีเรื่องทุจริต แต่ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับโดนตั้งแต่หัวไปถึงหาง แต่ในขณะที่หน่วยงานที่มีจำนวนหลาย 100 เครื่องหัวกลับไม่โดน โดนแต่หางและที่สำคัญเขาไม่ได้รับการดูแล หางที่โดนมาหาตนทั้งในส่วนของตำรวจและทหาร

ส่วนนายจตุพร ให้ความถึงว่าเป็นเพราะคุณหญิงประกาศไม่เอา 3ป. กับทักษิณ จึงโดนเล่นงานแพทย์หญิงคุณหญิง พรทิพย์ กล่าวว่า ก็เป็นไปได้ แต่หากถามว่าเปลี่ยนใจหรือไม่ก็คงไม่เปลี่ยน แต่อยากจะอธิบายซ้ำว่าเหตุใดตนจึงสื่อสารถึงนายกรัฐมนตรี 1.การโยกเอาผู้บริหารสีเทาสลับกันให้มาดูแลสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งทำให้หน่วยงานนี้เป็นหัวไม่พ้นน้ำเหมือนถูกกดถูกแกล้งตลอดเวลาจึงรู้สึกว่าทำไมคนที่เราเคยนับถือถึงมาให้ความสำคัญ 2.กระบวนการทุจริตคอร์รัปชันที่มีอยู่เต็มเมือง เช่น ตู้ห่าว คนสำคัญที่สุดคือนายกรัฐมนตรี ตนไม่ได้พูดด้วยอารมณ์แต่พูดด้วยความเสียดายเพราะเข้าใจว่าพอตัดสินใจลงสู่การเลือกตั้งย่อมต้องเดินในวิธีนี้ ซึ่งตนมีสิทธิ์ที่จะพูดแทนประชาชน ลูกน้องที่ตั้งใจทำงาน และหากตนจะโดนเพราะเหตุนี้ตนเชื่อว่าใช่ เพราะไม่รอดมาตั้งแต่ต้น และเมื่อสมัยรัฐบาลตามที่นายจตุพร พูดก็ขวางทุกเรื่องเช่นเดียวกันดังนั้นรู้สึกว่าก็ดีแล้วที่จะได้บอกว่าเราไม่ได้อยู่ฝ่ายใครแต่อยู่ฝ่ายประเทศไทย

เมื่อถามว่าทำไมคุณหญิงจึงแสดงจุดยืนเช่นนี้ มองเห็นอะไรในอนาคต แพทย์หญิงคุณหญิง พรทิพย์ กล่าวว่า วันนั้นเราทำเพื่อส่งสัญญาณเพราะเราไม่มีช่องทางที่จะบอกนายกรัฐมนตรี ว่า โปรดให้ความสัมคัญกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ วันนั้นจึงถือเป็นการจุดประเด็นเพื่อให้นายกรัฐมนตรีได้มองว่าหน่วยงานดังกล่าวนี้รัฐธรรมนูญปี 2540 อุตส่าห์ให้ตั้งมาเพื่อช่วยเหลือประชาชนแต่กลับปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มาบริหารตลอดเวลามาเป็น 10 ปี ทั้งนี้หากทำแล้วนายกรัฐมนตรีไม่สนใจ ประชาชนก็ต้องรับรู้ และถ้าเขาโกรธแปลว่าอยากจะฟังแต่สิ่งที่ดีใช่หรือไม่ ไม่ดูของจริงใช่หรือไม่ว่าสิ่งที่พูดคืออะไร ตนไม่มีความเกลียด แต่พูดออกมาบนความอึดอัดและความสงสารลูกทีมสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ที่จะต้องเจอเหตุการณ์ดังกล่าวและยอมรับกับสิ่งที่เราทำและขอบคุณทางนายจตุพร แต่ขออย่าไปดึงเป็นเรื่องทางการเมืองเพราะเรื่องGT200 ก็ถูกดึงเป็นเรื่องการเมืองมาแล้ว

"ความกังวลขณะนี้น้อยลงไปมาก และขอขอบคุณทางทีมอัยการ เราเชื่อมั่นว่าหากเราไม่ผิดก็จะต้องปลอดภัยแต่ตอนนี้ไม่น่าวางใจแล้วเพราะมีเรื่อง ป.ป.ช. ส่วนความกังวลนั้น คือ ในเรื่องของทีมงานว่าใช่ความยุติธรรมหรือไม่ หรือเป็นการพิจารณาเพื่อให้เกิดความพอใจสังคมอยาก เช่น จะเอาหมอพรทิพย์ ให้ตาย ถามว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงตนก็ไม่สนใจ เพราะเราลงไปทำงานและใช้เครื่องมือพวกนี้อย่างน้อยพิสูจน์ทราบและป้องกันการซ้อมทรมานไปได้ตลอดเวลาที่ผ่านมา เพราะเราไม่ต้องการให้เกิดการซ้อม ทั้งนี้ยืนยันว่ามีหลักฐานในการต่อสู้แต่ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าจะหยิบขึ้นมาใช้และฟังหรือไม่ ทั้งนี้ยังเหลือผู้พิพากษาที่จะต้องเป็นผู้ตัดสิน เพราะ ป.ป.ช. ตัดสินแล้วว่าผิด แม้ว่าอัยการบอกว่าไม่ผิด เขาก็ว่าผิดและจะฟ้อง

ส่วนมีการตั้งข้อสังเกตว่าหัวๆ ที่รอดจะเกี่ยวข้อง 3ป. นั้น ตนไม่ได้มองว่า 3ป. หรือไม่ แต่รู้ว่าหัวไม่โดนแปลว่าอะไรซึ่งมีการควบคุมการจัดซื้อจำนวนหลาย 100 เครื่อง แต่ 3 เครื่องโดนได้อย่างไร ส่วนถามว่าจะเกี่ยวข้องหรือไม่นั้นคนหนึ่งก็เคยเป็นตำแหน่ง ผบ.ทบ. ดังนั้นจะทำอย่างไรให้สังคมเข้าใจได้ว่ามีกี่มาตรฐาน ทั้งนี้ตนขอบคุณที่เป็นห่วงและเป็นกำลังใจให้ แม้ว่าตนจะมีความกังวล และยังต้องทำอีกหลายอย่าง แต่ยืนยันและสัญญาว่าไม่เลิกทำความดีและไม่เลิกที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้มีความยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำเหล่านี้จะต้องถูกแก้ไขนอกจากตนแล้วอยากให้ทุกคนช่วยตนด้วย" แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ ระบุ

เชื่อมีนัยยะทางการเมือง "คุณหญิงพรทิพย์"เปิดใจหมดเปลือก หลังถูกป.ป.ช.ฟ้องปมGT200