ฉาวไม่เว้นวัน! ลุง 63 แฉแช็ต-หลักฐานสลิปโอนเงิน อ้างถูกตำรวจเรียกเงิน 5 แสน วิ่งเต้นคดีไม่ให้ลูกชายติดคุก ต้องจำนำรถ-กู้เงินให้ สุดท้ายถูกจำคุก 4 ปีครึ่ง
วันที่ 11 มี.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมพร (สงวนนามสกุล) อายุ 63 ปี ชาวบ้านหมู่ 4 ต.น้ำผุด อ.เมืองตรัง ได้เข้ายื่นหนังสือเรียกร้องขอความเป็นธรรมผ่านเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.ตรัง และได้ร้องเรียนไปถึงสำนักนายกรัฐมนตรี โดยผ่าน กอ.รมน.ส่วนหน้า ก่อนจะนำเอกสารหลักฐานต่างๆ เข้าร้องเรียนกับผู้สื่อข่าว ภายหลังจากที่มีตำรวจนายหนึ่ง ในพื้นที่ จ.ตรัง ทำการตบทรัพย์โดยเรียกรับเงินจำนวน 3 แสนบาท แลกกับไม่ให้ลูกชายของนายสมพรฯ ติดคุก
แต่ปรากฏว่าถึงวันนี้ลูกชายของนายสมพรฯ กลับถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นระยะเวลา 4 ปีครึ่ง และมิหนำซ้ำภรรยาของนายสมพรฯ คือนางอัจฉราพร (สงวนนามสกุล) อายุ 57 ปี ได้ถูกจับกุมในฐานสมคบคิด ซึ่งอยู่ระหว่างรอศาลพิจารณาคดีอีกด้วย โดยนายสมพรฯ ได้นำหลักฐานคือ ประกอบไปด้วยแชทการสนทนาระหว่างภรรยาของนายสิรินทร์ฯ กับตำรวจนายดังกล่าว พร้อมกับหลักฐานสลิปการโอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีโดยตรงกับบัญชีที่ระบุถึงชื่อตำรวจนายนั้นเป็นเจ้าของบัญชี
โดยเหตุการณ์นี้เริ่มต้นจาก เมื่อเวลาประมาณ 09.30 น. วันที่ 15 เม.ย. 2565 ปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองตรัง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.9 (สืบสวนภาค 9) ได้ร่วมกันทำการจับกุมตัว นายสิรินทร์ (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี อาชีพทำไม้ยางพารา ที่บ้านพัก อ.เมืองตรัง จ.ตรัง ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดตรังที่ จ 117/2565 , 118/2565 ลงวันที่ 12 เมษายน 2565
ฐานความผิด “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อเสพโดยฝ่าฝืนกฎหมายและมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต , สมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้นั้นสมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยมีไว้เพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า”
โดยนายสมพร ผู้เป็นพ่อ ระบุว่า ภายหลังจากลูกชายถูกจับกุมผ่านไปได้ประมาณ 2-3 วัน ได้มีชายรายหนึ่งเข้ามาหาตนถึงที่บ้าน พร้อมถามว่ามีคนวิ่งเต้นช่วยเหลือคดีลูกชายแล้วหรือยัง ก่อนชายรายนั้นจะเสนอมาว่ามีตำรวจรายหนึ่งสามารถช่วยเหลือคดีไม่ให้ลูกชายติดคุกได้ ก่อนจะนัดหมายให้ตนไปพบที่เต็นท์รถมือสองแห่งหนึ่ง บริเวณแยกต้นรัก อ.เมืองตรัง และได้พบกับตำรวจนายนั้น โดยพูดเสนอมาว่าให้ตนนำเงินจำนวน 5 แสนบาทมาให้เพื่อแลกกับการวิ่งเต้นคดีไม่ให้ลูกติดคุก พร้อมทั้งตำรวจนายนั้นยืนยันว่า “หากว่าลูกชายลุงติดคุก จะคืนเงินให้กลับทุกบาททุกสตางค์” ก่อนที่ลูกสะใภ้ตน ซึ่งเป็นภรรยาของลูกชาย ได้พูดตกลงในข้อเสนอ ก่อนที่จะนำเงินสดจำนวน 1 แสนบาทยื่นให้กับตำรวจนายดังกล่าว เป็นยอดแรก ถัดมาวันที่ 22 เม.ย. 65 ได้โอนเข้าบัญชีตำรวจดังกล่าวอีกจำนวน 1 แสนบาท เป็นยอดที่ 2 ต่อมาวันที่ 7 มิ.ย. 65 ได้โอนเข้าไปให้อีกจำนวน 1 แสนบาท เป็นยอดที่ 3 รวมเป็นเงินทั้งหมด 3 แสนบาท
นายสมพร กล่าวต่อไปว่า แต่ปรากฏว่าในเวลาต่อมา ประมาณเดือน 3-4 เดือนทางตำรวจได้เข้ามาจับกุมภรรยาตนคือ นางอัจฉราพร อายุ 57 ปี ในฐานความผิดสมคบคิด เนื่องจากมีเงินที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดของลูกชายผ่านบัญชีภรรยาด้วยในจำนวนประมาณ 5 หมื่นบาท โดยที่ภรรยาตน ไม่ทราบว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และได้ให้การปฏิเสธ ก่อนภรรยาตนจะถูกนำตัวไปฝากขังเพิ่มอีก 1 คน ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนสืบพยานครั้งสุดท้าย และอยู่ระหว่างรอการพิจารณาคดีของศาล และต่อมาหลังจากที่ภรรยาตนโดยจับกุมปรากฏว่าในส่วนของคดีลูกชายศาลได้สั่งตัดสินจำคุก 4 ปีครึ่ง
นายสมพร กล่าวอีกว่า หลังจากที่ศาลตัดสินให้ลูกชายตนถูกจำคุกแล้ว ตนจึงได้ไปบอกกับชายที่เป็นตัวกลาง ที่เป็นคนมาประสานกับตำรวจนายนั้น ว่าตนขอหยุดการจ่ายเงินที่เหลืออีกจำนวน 2 แสนบาท ที่ยังค้างจ่ายในยอด 5 แสนบาทไปก่อน และขอเงินจำนวน 3 แสนบาทที่จ่ายไปแล้วคืนกลับ เพราะว่าลูกชายของตนถูกศาลตัดสินสั่งจำคุก ไม่เป็นไปตามตำรวจดังกล่าว อ้างว่าสามารถวิ่งเต้นได้และทางตำรวจรายนั้นก็พูดไว้แล้วว่าหากลูกติดคุกยินดีให้เงินคืนทุกบาทแต่จนจวบถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีการติดต่อหรือพูดคุยใดๆจากนายตำรวจและชายคนดังกล่าว เงียบหายไปเลย ซึ่งเงินที่ตนนำไปจ่ายให้ตำรวจนายดังกล่าวได้จากการนำหัวเล่มทะเบียนรถยนต์ไปจำนำ ได้เงินมา 2 แสนบาท และไปกู้เงินจากธนาคาร ธ.ก.ส.อีกจำนวน 1.5 แสนบาท เพื่อนำมาจ่ายให้ตำรวจรายดังกล่าว ส่วนที่เหลือ 5 หมื่นบาทก็อามาเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินคดี
นายสมพร กล่าวปิดท้ายว่า วันนี้ที่ตนได้ไปเรียกร้องถึงหน่วยงานต่างๆและสื่อมวลชน 1.เพราะอยากได้เงินจำนวน 3 แสนบาทที่จ่ายไปกลับคืน และ 2.หากได้เงินกลับคืนแล้วในเรื่องของการตรวจสอบเกี่ยวกับนายตำรวจคนดังกล่าวก็ยังยืนยันให้เป็นไปตามขบวนการต่อไป และยืนยันว่ามาถึงขั้นนี้แล้วจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด จะไม่ยอมใดๆแล้ว หากจะมีใครมาพูดคุยก็ขอให้มีคนกลาง เพราะตนรอมาถึง 7-8 เดือนแล้วว่าให้ตำรวจนายนั้นเอาเงินกลับมาคืนให้ จนถึงตอนนี้ตนมีเงินติดกระเป๋าอยู่แค่เพียง 90 บาท วันนี้ก็ต้องแบกรับหนี้สินและดอกเบี้ยจากการทำอาชีพกรีดยางพารา รายได้วันละไม่เกิน 300 บาท ข่าวคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป