เข่าทรุด !! แจ้งความ "ว่าที่ลูกสะใภ้แสบ" สลับสร้อยทองปลอม กับทองแท้ 3 บาท กวาดผ้าไหมหมดตู้ ไม่พอขโมยบัตรเอทีเอ็ม กดเงินแสนเหลือแค่ 90 บาท
21 มี.ค. 66 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากนางนันทิยา ภัยวงษ์ อายุ 52 ปี อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ย.65 เวลา 14.50 น.ปีที่แล้ว ตนเองได้เดินทางไปแจ้งความไว้กับ พ.ต.ท.เชษฏฐ์สุชา ไกรแก้วโชติรัตน์ รองผกก.(สอบสวน)สภ.สำโรงทาบ พนักงานสอบสวนเวร โดยแจ้งว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2565เวลาประมาณ 09.00น. ตนเอได้นำสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสาขาศีขรภูมิ จ.สุรินทร์หมายเลขบัญชี 013262894037 เงินคงเหลือในบัญชี จำนวน 158567.69 บาท ได้ให้เจ้าหน้าที่ ธกส.ปรับสมุดปรากฏว่าเงินในบัญชีหายไป ตั้งแต่วันที่ 13-27 สิงหาคม 2565 มีเงินคงเหลือในบัญชีเพรบง 97.69 บาทเท่านั้น
หลังจากนั้นได้เอาสร้อยคอทองคำรูปพรรรณ ของตนเอง จำนวน 3 เส้น หนัก 1 บาท จำนวน 2 เส้น หนักห้าสิบสตังค์ 1 เส้น ไปที่ร้านทองเยาวราช ที่อำเภอศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ให้พนักงานร้านทองตรวจสอบดู ปรากฏว่ารับแจ้งจากพนักงานร้านทองว่าสร้อยคอทองคำทั้งหมดเป็นทองปลอม จึงได้กลับไปที่บ้านได้ตรวจสอบผ้าไหมที่เก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าปรากฏว่าผ้าไหมหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุว่าผู้ใดเป็นผู้มาลักไปและมาลักเมื่อใดเวลาใด ไม่ปรากฏแน่ชัด เหตุเกิดที่บ้านบ่อน้ำใส หมู่ที่ 6 ตำบลตรึมอำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ทราบและรู้เรื่องเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2565 เวลาประมาณ 09.00น. พ.ต.ท.เชษฏฐ์สุชา ไกรแก้วโชติรัตน์ รองผกก.(สอบสวน)สภ.สำโรงทาบ ได้รับแจ้งและรับเรื่องไว้ แล้วพบเป็นเหตุเกิดในพื้นที่ สภ.หนองจอก ต.คาละแมะ อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ จึงได้ส่งเรื่องไปยังท้องที่ที่เกิดเหตุรับผิดชอบคดี โดยมี ร.ต.อ.ราชันย์ แก้วบุตรดี เป็นร้อยเวรรับเรื่องต่อ
นางนันทิยา ผู้เสียหาย เปิดเผยอีกว่า ตนเองได้ไปแจ้งความไว้เมื่อปีที่แล้ว หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไปไม่มีอะไรคืบหน้า ตนเองคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้น ตนเองไม่รู้จะไปพึ่ง ใครจึงได้ไปปรึกษากับผู้หลักผู้ใหญ่ภายในบ้านเมืองจึงได้คำแนะนำว่าให้ไปร้องทุกข์กับนักข่าวเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้ถึงที่สุด บุคคลที่ตนสงสัยคือว่าที่ลูกสะใภ้ของตนเอง เมื่อปลายปี 2565 ลูกชายของตนเอง ได้ไปมีแฟนที่รู้จักกันทางเพซบุ๊ก มีบ้านอยู่ที่อำเภอสำโรงทาบและได้เข้ามาอยู่ภายในบ้านได้ประมาณ 7 เดือน โดยนำทองแท้ออกไปแล้วนำทองปลอมมาเปลี่ยนเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตนมารู้อีกทีก็ต่อเมื่อจะนำทองไปขาย เพื่อไปใช้หนี้ ธกส.ทางร้านทองบอกว่าเป็นทองปลอม ตนเองแทบเป็นลมทั้งยืนและผ้าไหมที่ตนเก็บเอาไว้สวมใส่ภายในบ้านก็หายไปจำนวนหลายผืนอีกด้วย ซึ่งจะไม่มีใครนอกจากว่าที่ลูกสะใภ้เท่านั้นที่นำออกไป เพราะลูกสะใภ้เคยขอนำกุญแจตู้เสื้อผ้ามาจำนวน 3 ดอกแล้วหายไป จำนวน 1 ดอก พอสอบถามก็บอกว่ากุญแจมันคงมี 2 ดอก เท่านี้ก็รู้แล้ว ทำให้ตนเองถึงเหนื่อยล้ากับปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัว ส่วนว่าที่ลูกสะใภ้ก็หายไปจากบ้านตั้งแต่เกิดเรื่อง นางนันทิยาฯกล่าว
หลังจากนั้น ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่ สภ.หนองจอก ได้สอบถามถึงความคืบหน้าคดีกับพนักงานสอบสวนเวร ต่างได้รับคำตอบว่า หลังจากสอบสวน ตำรวจได้ออกหมายเรียกผู้ต้องสงสัยมาแล้ว 1 ครั้ง ไม่ใช่คนอื่นไกลเป็นคนภายในครอบครัวของนางนันทิยาเองและเป็นคนใกล้ชิด แต่ผู้ต้องสงสัยได้ให้การปฏิเสธและไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น จากนั้นได้ให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนออกติดตามดูกล้องวงจรปิด ตามตู้เอทีเอ็มต่างๆในเขตพื้นที่สำโรงทาบและร้านทองในเขตพื้นที่อำเภอศีขรภูมิแล้ว พบผู้ต้องสงสัย ซึ่งเป็นบุคคลเดิม เป็นคนใกล้ชิดภายในครอบครัวของนางนันทิยาเอง อายุประมาณ 33 ปี และจะออกหมายเรียกอีกครั้ง เพื่อให้เข้ามาพบพนักงานสอบสวนภายใน 15 วัน ถ้าหากว่าไม่มา ก็คงต้องออกหมายจับตัวผู้ต้องสงสัยที่อยู่ภายในบ้านของผู้แจ้งต่อไป