ทายาทผู้เสียหายคดีพลอยแดง แฉโทรปรึกษาทนายดัง เรต 20 นาที 1,500 บาท แต่คุยได้ 2 นาที บอกคดีน่าสนใจนัดให้เข้ามาปรึกษาที่สำนักงาน แต่ต้องจ่ายแล้ว 1,500 ส่วนการนัดพบใหม่ต้องจ่ายอีก 3,000
วันที่ 28 มี.ค. 2566 ที่สำนักงานในซอยเกษตรสัมพันธ์ ต.คลองพระอุดม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายนที คุ้มพันธุ์ อายุ 43 ปี ทายาทผู้เสียหายในคดีพลอยแดงเมื่อ 29 ปีที่แล้ว จนต่อมาศาลฎีกาตัดสินให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชดใช้เงินให้กับทายาทผู้เสียหายเป็นเงินจำนวน 157 ล้าน แต่ผ่านมา 2 ปี ผู้เสียหายยังไม่ได้เงินแม้แต่บาทเดียว จนกลายเป็นข่าวโด่งดัง
นายนที คุ้มพันธุ์ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวถึงเรื่องราวที่เขาได้โทรศัพท์ไปปรึกษาทนายคนดังที่กำลังตกเป็นกระแสข่าวในตอนนี้ว่า หลังจากศาลฎีกามีคำสั่งตัดสินให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชดใช้เงินจำนวน 157 ล้านบาทให้กับทางครอบครัวผู้เสียหายในคดีนี้แล้ว แต่ปรากฏว่าผ่านมา 2 ปีแล้ว ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ยังไม่ยอมจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้กับครอบครัวตามคำสั่งศาล ทำให้ตนตัดสินใจมองหาทนายที่มีชื่อเสียงมาช่วยเหลือคดีเพื่อเรียกร้องเงินชดเชยจำนวนดังกล่าว ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา ตนได้ไปเห็นชื่อทนายคนดังกล่าวในโซเซียลจึงเกิดความสนใจที่อยากจะปรึกษาคดีเกี่ยวกับการฟ้องร้องเรียกเงินชดเชยคืนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงเช้าตนจึงได้ติดต่อไปที่สำนักงานของทนายคนดังกล่าว ก็พบกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานอธิบายรายละเอียดขั้นตอนในการติดต่อพูดคุยกับทนายคนนี้ ในเรตอัตราคือ ติดต่อพูดคุยกับทีมทนาย 20 นาที 1,000 บาท ติดต่อพูดคุยทางโทรศัพท์กับทนายโดยตรง 20 นาที 1,500 บาท และหากต้องการเข้าพบทนายโดยตรง จะต้องเสียค่าบริการ 30 นาที 3,000 บาท
นายนที กล่าวว่า ด้วยความที่เห็นว่าเขาเป็นทนายความที่มีชื่อเสียง ตนจึงตัดสินใจใช้บริการโทรพูดคุยกับทนายโดยตรง ในเรตราคา 20 นาที จ่าย 1,500 บาท จากนั้นงเจ้าหน้าที่สำนักงานก็จะไลน์ข้อความมาแจ้งบอกว่าให้สามารถโทรคุยได้ตอนไหน ซึ่งตนติดต่อไปตอนเช้า แต่กว่าจะได้คุยกับทนายก็เป็นช่วงค่ำๆ แล้ว หลังเจ้าหน้าที่สำนักงานติดต่อมาว่าทนายสะดวกแล้ว ตนจึงได้โทรศัพท์เข้าไปหาทนายคนดังกล่าว โดยตนเองได้แนะนำตัวและบอกวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้ทนายคนนี้เข้ามาช่วยเหลือในคดีเกี่ยวกับคดีพลอยแดง ที่ครอบครัวตนฟ้องร้องจนคดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อศาลฏีกาตัดสินให้ครอบครัวตนชนะคดี และให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจ่ายเงินชดเชยเยียวยาเป็นเงิน 157 ล้านบาท แต่เรื่องกลับเงียบหายไป
ซึ่งทนายคนดังกล่าวได้บอกกับตนเองว่า เป็นคดีที่น่าสนใจนะ ให้เข้ามาปรึกษาที่สำนักงานโดยตรง ก่อนจะวางสายไป โดยใช้เวลาในการสนทนาได้เพียง 2 นาทีกว่าเท่านั้น ตนจึงได้ติดต่อกลับไปทางเจ้าหน้าที่สำนักงานเพื่อจะตกลงนัดหมายวันเวลาที่จะเข้าไปพบทนายคนนี้ แต่ปรากฏว่าทางเจ้าหน้าที่สำนักงานแจ้งให้ตนทราบว่า หากประสงค์จะเดินทางมาเข้าพบทนายที่สำนักงานจะต้องเสียค่าบริการในเรต 30 นาที 3,000 บาทก่อนจึงจะนัดหมายให้ได้ ทำให้ตนชักเริ่มรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ จึงได้พยายามอธิบายกับทางเจ้าหน้าที่สำนักงานแล้วว่า ตนได้จ่ายค่าโทรคุยกับทนายไปแล้ว 1,500 บาท ในเรตเวลา 20 นาที แต่ปรากฏว่าตนได้พูดคุยจริง ๆ แค่ 2 นาที ทางทนายก็ตัดบทและบอกว่าคดีน่าสนใจให้เข้ามาพบ ตนจึงคิดว่าค่าโทรคุยจำนวน 1,500 บาทที่จ่ายไป ควรจะถูกคืนหรือไม่ก็นำไปหักออกจากค่าเข้าพบจำนวน 3,000 บาท แต่กลับถูกทางเจ้าหน้าที่สำนักงานปฏิเสธ ตนจึงมองว่าเป็นการเอาเปรียบลูกความมากเกินไป ไม่ยุติธรรม เหมือนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่า ทำให้ตนเลิกติดต่อกับทางทนายคนดังกล่าวที่คิดว่าจะให้มาช่วยเหลือคดีในทันที เพราะตนมองว่าไม่ยุติธรรมเอารัดเอาเปรียบมากเกินไป ทั้งๆ ที่เงินจำนวนนี้ตนสามารถจ่ายให้ได้ แต่ขอให้เป็นไปตามเงื่อนไขข้อตกลงที่ระบุไว้ แต่กรณีของตนเหมือนถูกบังคับให้เดินไปตามแพ็กเกจที่เขาตั้งราคาไว้ ซึ่งต่อไปก็คือค่าแถลงข่าวอีก 3 แสนบาทที่ตนเกือบไปเหมือนกัน อยากให้เขาคิดว่าคนที่เขาเข้าไปหาทนายความทุกคนแสดงว่าเขาไม่ได้มีความสุข มีแต่ความทุกข์ที่จะเข้าไปพึ่งพา แต่กลับไปเจอทนายแบบนี้ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่
นายนที กล่าวอีกว่า ตนเข้าใจว่าทนายความก็เป็นธุรกิจ แต่ธุรกิจก็ต้องมีจรรยาบรรณและความจริงใจด้วย กติกาเงื่อนไขที่คุณกำหนดไว้ก็ควรต้องเป็นไปตามนั้น ที่ตนติดต่อไปก็เพราะต้องการหาที่พึ่งทางกฎหมายกับทนายเก่งๆ ในเรื่องดำเนินการฟ้องร้องภาครัฐที่ตนชนะคดีมา คนติดต่อไปเช้า เที่ยงจ่ายเงิน กลางคืนถึงได้คุย ทำตามเงื่อนไขเขาทั้งหมดเพราะเงินจำนวนนี้ตนจ่ายให้ได้ ซึ่งตนก็อุตสาห์ดีใจแล้วที่เขาบอกว่าคดีน่าสนใจต้องออกสื่อ ให้เขามาคุยที่สำนักงาน ซึ่งคงเป็นเรตราคาแถลงข่าวออกสื่ออีก ซึ่งคดีตนคงไม่ใช่แค่จำนวนเงิน 3 แสนบาทแน่ๆ เพราะมูลค่าฟ้องร้องในคดีสูงถึง 157 ล้านบาท แต่ก็โชคดีที่พอตนรู้สึกว่าความจริงใจมันไม่มีตั้งแต่เริ่มต้น และรู้สึกว่าไม่ชอบธรรม ไม่เป็นธรรมกับตน ในวันนี้ตนจึงอยากดปิดเผยเรื่องราวนี้ให้ทุกคนได้เห็นเกี่ยวกับทนานคนนี้ว่าเขายังมีอีกหลายมุมหล่ยด้านที่คนยังไม่รู้ บางคนอาจจะมองว่าเขาเป็นทนายเพื่อประชาชน แต่สำหรับตนแล้วมันไม่ใช่