ชัดแล้ว ! "บิ๊กตู่" แจงไม่ลงปาร์ตี้ลิสต์ บอกเหลือเวลาเป็นนายกฯแค่ 2 ปี หวัง ส่งไม้ต่อให้ "พีระพันธุ์" ปัดมอง "บิ๊กป้อม" เป็นคู่แข่ง ฟาดคนแซะต้นเหตุสภาล่ม
3 เม.ย. 66 บรรยากาศระหว่างการจับเบอร์ผู้สมัคร ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งทั้งสองคนนั่งติดกัน บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่นปรากฏภาพว่า หัวเราะต่อกระซิบกันตลอด
ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามพลเอกประยุทธ์ ว่า ได้มีการพูดคุยอะไรกันบ้างหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ก็พูดคุยกันไป สนุกสนานกันไป
เมื่อถามว่า วันนี้มาในฐานะคู่แข่ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่เห็นแข่งอะไรกับใครเลย ก็นั่งคุยกัน แหย่กันไปแหย่กันมา ท่านก็ทำของท่าน ตนก็ทำของตน แต่ให้รู้ว่าวันนี้เราอยู่คนละพรรคแล้ว ส่วนจะคิดว่าจะรวมกันวันหน้าหรือไม่ ก็แจ้งแล้วว่าแยกมา ก็คือแยก ไม่อย่างนั้นจะมานั่งสัมภาษณ์ตรงนี้ทำไม
เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร ได้โพสต์ตำแหน่ง แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีต้องลง ส.ส.บัญชีรายชื่อถึงจะสง่างาม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ใครจะว่าอะไรก็ว่าไปตนมองในเรื่องของการให้โอกาสคนอื่น เลยให้นายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับ 1 เพราะมีผลกับการอยู่ 2 ปีของตน หลายคนถามว่าอยู่ 2 ปีแล้วจะเป็นยังไง ก็นั่นไงคือคำตอบ ซึ่งเป็นตัวเลือกในการเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งต่อไป ถ้าได้อยู่ 2 ปี ก็จะมีคนสานต่อตรงนี้ ทุกอย่างคือยุทธศาสตร์
เมื่อถามว่า มั่นใจว่าจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแน่ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "มั่นใจตรงไหนพูดว่าแค่ได้เป็น เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้เช่นนั้น ต้องเข้าใจว่ามีภาระหลายอย่างและมีบทเรียนมาแล้ว เรื่องการที่หลายคนพูดว่าเป็นคนทำให้สภาล่ม มันใช่ไหม คนเราเป็นผู้ใหญ่แล้วพูดจาให้ระมัดระวังบ้าง หลายคนมาโทษนายกฯ ในเมื่อวันนั้นผมก็ไม่ใช่ ส.ส.หรือสมาชิกพรรคกับพรรคใดเลย ถูกเลือกโดยมีพรรคการเมืองสนับสนุน แล้วผมบังคับ ส.ส.ได้ไหม ถ้าบังคับได้ก็อยู่พลังประชารัฐแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาทำไม่ดีนะ เพราะผมบังคับให้เขาทำสิ่งดีๆ เขาก็เฉยๆ แต่ไม่ใช่ว่าเขาทำไม่ดีนะ แต่หลายอย่างมันไม่ตรงกัน ก็เลยมาอยู่กับนายพีระพันธ์ุ เพราะมีเจตนาที่ตรงกัน ว่าเราจะเดินหน้าประเทศไทย อย่าคิดว่าได้เงินเท่าไหร่ในการเลือกตั้ง"
พล.อ.ประยุทธ์ ยังให้สัมภาษณ์เปิดใจถึงการลงสนามการเมืองอย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรกว่า มาครั้งแรกก็เรียบร้อยดี ไม่มีใครทะเลาะกัน หรือใช้ความรุนแรงต่อกัน อยู่คนละพรรคก็มาทักทายกัน สวัสดีกัน ทุกคนก็คือคนไทยด้วยกัน บางคนก็คุ้นเคย รู้จักกับแกนนำพรรคหลายคน
ทั้งนี้ หลายอย่างเปลี่ยนไป เพราะอยู่กันคนละพรรค แต่ความผูกพันส่วนตัวไม่มีปัญหา ความเป็นเพื่อน ความคุ้นเคย การทำงานร่วมกัน แต่การที่เขาจะเลือกพรรคไหนก็เป็นเรื่องของเขา ก็เพียงแต่ขอว่าให้ทุกคนช่วยกันทำเพื่อบ้านเมือง ถ้าหวังแต่เพียงหาเสียง สมมุติว่าได้จากนโยบายที่หาเสียง แล้วทำไม่ได้ จะตอบประชาชนว่าอย่างไร บางอย่างที่กลัวว่ามันอันตรายพอสมควร เช่น การใช้จ่ายงบประมาณ ถ้าทำตรงนี้ต้องบอกว่ารายได้จะเอามาจากไหน บางนโยบายล่อไป 9 แสนล้านบาท จะเอามาจากไหนนี่คือสิ่งที่อันตรายและต้องชั่งน้ำหนักให้ดี ต้องดูว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจเป็นอย่างไร